ราคารวม : ฿ 0.00
ขอความเจริญในพระสัทธรรมจงบังเกิดมีแต่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
พวกเราคงได้ยินคำว่า “อุปาทาน” แปลว่า “ความยึดมั่น” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “จงถอนความยึดมั่น”
ความยึดมั่นคืออะไร มันมีระดับของมัน คือ
นี่คือความยึดมั่น
ประการแรก ตัวของกูคือ “ตัวกู” เมื่อไรก็ตามเราคิดว่านี่คือตัวเรา ยิ่งนานยิ่งยึดว่าเป็นตัวเรา ไอ้ตัวนี้นั่นแหละท่านทั้งหลายมันจะนำไปสู่ความยึดมั่นอีก 2 ตัวคือ คนของกู หมายความถึง เมียของกู ผัวของกู ลูกของกู บริวารของกู นี่คือการยึดมั่นในตัวบุคคล หรือสรรพสัตว์ นี่แมวของกู นี่หมาของกู อะไรก็เป็นของกูหมด เพราะอะไร ?
เพราะว่าตัวมันเป็นของกู มันจึงเกิดคนของกู เมื่อเกิดคนของกูแล้ว สิ่งที่ได้มาทั้งหมดมันก็เป็นของ ๆ กู ไอ้ชอง ๆ กูคือสิ่งที่เราหามาได้ หามาได้จากตัวของกูและคนของกู ก็เลยเป็นของ ๆ ของคนของกูก็ได้
ความยึดมั่นเหล่านี้จริง ๆ แล้วมันเป็นจริงไหม จริง ๆ แล้วมันไม่เป็นจริง สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ที่แล้วมาก็ไม่มีตัวของกู ก็ไม่มีคนของกู ก็ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ กู” ตรงนี้เองที่พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้เราปลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนัตตาเป็นตัวยึดคืนสู่ธรรมชาติ ทั้งตัวกู คนของกู ของ ๆ กู
เพราะฉะนั้นที่เรากล่าวกันว่าเป็นของกู จริง ๆ แล้วธรรมชาติมันบ่งบอกเราว่าตัวกูก็ไม่ใช่ของกู คนของกูก็ไม่ใช่คนของกู และที่บอกว่าเป็นคนของกู เมื่อเราตายลงไปแล้วไปแล้วเขาก็คิดว่าไม่ใช่คนของกู เพราะเป็นผีไปแล้ว เป็นกระดูกไปแล้ว ของที่เรามีอยู่เมื่อเราตายไปแล้วก็ไม่ใช่ของ ๆ กู แล้วก็จะมีคนยึดต่อไปว่าไอ้นี่เป็นของ ๆ กูเรียกว่ามรดก ก็ยื้อยุดฉุดชิงกันเอาไป แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าเราคิดอย่างนี้ สิ่งที่มี สิ่งที่ดำรง ต้องรู้จักปลงล่วงหน้า สิ่งที่มีจะมีค่าเมื่อเราปลงล่วงหน้าด้วยการคิดว่าไม่มีตัวของกู คนของกู และของ ๆ กู
พระเทพปฏิภาณวาที
“เจ้าคุณพิพิธ”
แชร์ :
เขียนความคิดเห็น