ราคารวม : ฿ 0.00
วิมาดานาคินีสนมน้องนุชสุดท้องมีอายุน้อยกว่าสองนางเธอ แต่มีวาจาอ่อนหวานเรียบร้อยและด้วยกิริยามารยาทที่งดงาม ทั้งซ่อนความฉลาดอยู่ในทีท่าของนาง จึงเป็นที่โปรดปรานของท่านปู่เจ้าและพระเจ้าน้าขององค์อรินทร์ ส่วนพระองค์มิได้ทรงรังเกียจสามนางแต่อย่างใด แต่สำหรับสนมวิมาดานาคินีตนนี้ องค์อรินทร์ต้องพระทัยเหมือนเป็นน้องนาง
ท่านปู่เจ้าเวทจิตราทรงย้ำองค์อรินทร์ว่าพิธีนาคาสังวาสของพระองค์ยังมิลุล่วงบริบูรณ์ พระองค์ได้แต่ทรงเข้าบริกรรมที่ถ้ำมณีพชรตลอดเพลานับแต่คราสูญเสียพระนางทิพปภาไปและทรงกำชับว่าองค์อรินทร์ต้องตัดสินพระทัยเลือกสนมนางใดนางหนึ่งเพื่อเข้าพิธีนาคาสังวาสในคืนเดือนแรม 11 ค่ำ ด้วยปีรุ่งขึ้นจะขาดความอุดมสมบูรณ์ในนาคภูมิ
องค์อรินทร์ตัดสินพระทัยว่าวิมาดาขนิษฐาน้อยนางนี้ เป็นผู้ที่มีจริตสมควรที่พระองค์จะเข้าร่วมสังวาสเป็นนางแรกเพื่อให้เกิดความพร้อมต่อพระองค์เองจึงทรงเรียกนางมาพาทีก่อนที่จะถึงเพลานั้น
“องค์อรินทร์...พระองค์เรียกข้ามาด้วยเหตุอันใดเพคะ” สนมวิมาดาสอบถามองค์อรินทร์ด้วยวาจาที่อ่อนหวานยิ่งนัก
“ข้าปลงใจจะเข้าร่วมสังวาสกับเจ้าก่อน” องค์อรินทร์เปล่งกระแสจิตดังเป็นเสียงกึกก้องในถ้ำที่ทรงนั่งบริกรรมอยู่เหนือราชอาสน์
“ข้ายินดียิ่งนักที่พระองค์ทรงเรียกข้ามาพบด้วยเหตุนี้” ด้วยดวงจิตที่นางมีใจให้กับองค์อรินทร์ตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงเตรียมตัวเตรียมใจแต่ยังนึกหวั่นเกรงหากองค์อรินทร์จะทรงกริ้ว หากนางทำให้พระองค์ขัดเคืองใจในระหว่างการสังวาส
“คืนเดือนแรม 11 ค่ำ อีก 5 เพลาจากยามนี้เจ้าต้องเข้าพิธี จงไปหาท่านปู่เจ้าเพื่อเตรียมกระทำการ” องค์อรินทร์ทรงสั่งให้นางไปเตรียมตัว วิมาดาแปลกใจว่าทำไมองค์อรินทร์เรียกนางมาเพื่อพาทีเพียงเท่านี้ ไม่มีอันใดเลยที่พระองค์จะมองมาที่นางด้วยจิตสิเน่หา
“เพคะ ข้ารับคำบัญชา...องค์อรินทร์” นางลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกไปจากที่พระองค์ประทับอยู่บนราชอาสน์
“ข้าลืมไป เจ้าเข้ามาใกล้ข้าตรงนี้” องค์อรินทร์ทรงพยักหน้าขอให้นางเข้าไปนั่งใกล้พระองค์ แล้วก้มลงมองแววตานาง เมื่อประสบเนตรขององค์อรินทร์นางรู้สึกสั่นวาบไปทั่วทั้งร่าง ‘แววพระเนตรนั้นดุจเสือดาวมองนางอย่างน่ากลัวเหมือนจะกลืนกินนางไปต่อหน้า พระองค์ดูน่าหวาดกลัวเสียนี่กระไร’ วิมาดาคิด
“องค์อรินทร์ มองข้าประดุจว่าข้าคือ...อริ” วิมาดารวบรวมความกล้าเพื่อสบโอกาสให้ทรงรู้แจ้งว่าพระองค์ทรงคิดอะไรอยู่ในพระทัย
“ข้าเพียงแต่...” องค์อรินทร์ทรงหยุดพาทีช่วงนี้ไป ด้วยมิอยากให้นางรู้ด้วยพระทัยที่ยังสงสัยมิแจ้งใจในสนมนางนี้สักเท่าใด
“องค์อรินทร์ ทรงสงสัยอันใดเล่า ฤาว่ายังมิทรงแจ้งใจในตัวข้า” วิมาดาออดอ้อนเข้าไปชิดแนบกายพระองค์ ซึ่งท่อนบนเปลือยเปล่าแสงเหลืองทองเปล่งประกายเข้าตานาง พระองค์ช่างน่ายวนยั่ว พอได้ทีนางจึงเอามือสัมผัสตรงพระอุระ แล้วต้องผวาสะดุ้งดึงฝ่ามือที่สัมผัสเพียงเสี้ยวเล็บกลับทันที เพราะความร้อนดุจไฟร้อนแรงอาจเผานางให้เป็นจุณได้
“จะยั่วข้ารึ จิตข้ายังมิให้เจ้าเข้าถึงตัวข้าดอก” องค์อรินทร์หัวเราะจากจิตที่กึกก้องออกมา จนวิมาดาต้องข่มใจมิให้เผลอเปล่งวาจาที่โกรธเคืองอยู่ให้พระองค์รู้
“ในคืนเดือนแรม 11 ค่ำ เจ้าจะรู้ว่าจะต้องทำอันใดที่ยั่วยวนข้าได้” องค์อรินทร์อยากลองพระทัยดูว่าพระองค์จะพึงมีจิตประดิพัทธ์นางปานใด
หลังจากวิมาดากลับจากถ้ำ ‘มณีพชร’ แล้วนางครุ่นคิดถึงคำพูดขององค์อรินทร์ และเนื้อกายพระองค์ดุจไฟแผดเผายามนั้น ทำให้นางต้องรีบปรึกษากับสองพี่นางสนมว่าองค์อรินทร์นั้นเข้าถึงยากเย็น หทัยเยือกเย็นดุจศิลาแลง วาจาเปล่งดังกึกก้องกัมปนาทดั่งราชสีห์ และพระวรกายร้อนแรงประหนึ่งเปลวสุริยะ
“พี่ทั้งสองเจ้าขา ข้ายังขัดข้องใจที่เข้าพบองค์อรินทร์ ณ เพลาเช้านี้” วิมาดาเอ่ยวาจาสงสัยองค์อรินทร์
“เจ้าจะแจ้งใจอันใดได้ คงนั่งเงียบต่อหน้าพระองค์” สนมสุทิสาพูดประชดนาง
“ไม่นะเจ้าคะ ข้าพาทีกับพระองค์อยู่หลายคำ” วิมาดาเถียงต่อ
“ข้าจะเอามือสัมผัสพระอุระอันงดงามส่องประกาย พระวรกายพระองค์นั้นเย้ายวนใจข้ายิ่งนัก” แววตาของวิมาดายามนี้เคลิบเคลิ้มหลงใหลในรูปกายขององค์อรินทร์
“เจ้าได้สัมผัสพระองค์เจียวรึ พระองค์คงกระหวัดโอบรัดเจ้าสิ” สนมมัลลิกาเขย่ากายวิมาดาด้วยความริษยา
“องค์อรินทร์คงรักเจ้ามากกว่าเราทั้งสอง” สนมสุทิสาแย่งพูดขึ้นทันทีแล้วก้มหน้าเหมือนพ่ายแพ้แก่วิมาดา ด้วยนางมีมธุรสวาจาอ่อนหวานทำให้องค์อรินทร์ลุ่มหลงนางได้ทันที
“ข้าว่า พี่ทั้งสองครุ่นคิดเกินไป พระองค์มิได้เข้าใกล้ข้าเลย สั่งให้ข้าเตรียมตัวในคืนเดือนแรม 11 ค่ำ” สองสนมทำตาโตริษยาวิมาดา
“สุทิสา ข้าต้องไปหาแม่เจ้านิลตวงอีกยามนี้” มัลลิกาใจร้อนรุ่มดังไฟเผา มองวิมาดาด้วยแววตาเป็นประกายแดงเพลิง
“พี่ทั้งสองอย่ามองข้าเป็นอริ เราเป็นพวกเดียวกันนะ...เจ้าค่ะ” วิมาดารู้สึกว่านางกำลังถูกสนมทั้งสองทอดทิ้งให้นางเดียวดายขาดพวกพ้อง
“เจ้าดั่งมารร้ายของพวกข้า ข้ายังข้องใจทำไมเจ้าถูกเรียกไปแต่นางเดียว” สุทิสายังคงสงสัย
“ข้าก็ยังไม่แจ้งใจอันใดว่า องค์อรินทร์จะเข้าสังวาสกับข้าก่อน” คำพาทีนี้ประหนึ่งทำให้ทั้งสองนางร้องกรี๊ดขึ้นพร้อมกัน จนวิมาดาตกใจวิ่งหนีนางทั้งสองไปหลบหาที่พักใจจากเพลิงริษยา ณ อุทยานหลวงของรัตนนาคาบุรี
‘อุทยานหลวงแห่งนี้เคยเป็นแหล่งพักพิงข้านับตั้งแต่ข้ามาถึง ไม่มีใครใยดีกับข้าเลย’ วิมาดาคิดถึงเมืองที่ตนจากมา พ่อและแม่คงคิดว่านางเป็นสนมองค์อรินทร์และพระองค์คงดูแลนางเป็นอย่างดี จะยั่วยวนอันใดพระองค์ได้ด้วยในหทัยพระองค์มีแต่พระนางทิพปภา พระองค์ฤาจะสนใจใยดีนางในเพลาที่พระองค์ยังโศกกำสรวลอยู่และคงมิใช่เพลาอันเหมาะควร นางคงต้องหาอุบายให้พระองค์พึงพระทัยในคืนเดือนแรม 11 ค่ำ ซึ่งพระองค์เรียกนางเข้าสังวาสคงน่าจะสบโอกาส ณ เพลานั้นได้
‘องค์เจ้าน้าศรีปิ่น คงช่วยข้าได้เป็นแน่แท้’ วิมาดาคิดถึงพระเจ้าน้าขององค์อรินทร์ขึ้นมาทันใด จึงรีบรุดไปยังพระตำหนักของพระนาง
“พระเจ้าน้าเพคะ ข้ายังขัดข้องใจต่อองค์อรินทร์” วิมาดาเข้าพบพระนางด้วยความสงสัย
“อย่าครุ่นคิดให้กังวลใจ ไปเตรียมตัวให้พร้อม” เจ้าน้าศรีปิ่นแนะนำวิมาดา
“หนึ่งราตรีที่เจ้าอยู่ร่วมสังวาส จำไว้เจ้าอย่าขัดใจองค์อรินทร์” เจ้าน้าศรีปิ่นกำชับ
“อย่างใดเพคะ ข้ายังมิแจ้งใจ” วิมาดายังคงสงสัย
“เจ้าจะรู้เอง” พระนางวิสุทธิศรีปิ่นเจ้าน้าขององค์อรินทร์ ให้วิมาดาไปลองกำหนดบริกรรมสมาธิดู เพื่อให้จิตใจของนางสงบคลายความกังวลลง
คืนเดือนแรม 11 ค่ำ เริ่มต้นยามสอง สนมวิมาดาเข้าพิธีกรรมถวายตัวแต่นางเดียว ทำให้สองนางคือ มัลลิกาและสุทิสาเกิดความริษยาดังเปลวเพลิงร้อนผ่าวไปทั่วร่าง จนพระตำหนักเกิดไฟปะทุอยู่รอบด้าน พิธีกรรมนี้สนมทั้งสองนางได้แต่เฝ้ามองดูเท่านั้นจนสุทิสาน้ำตาไหลอาบแก้ม ส่วนมัลลิการ้อนรนร่วมประกอบพิธีอย่างไม่แยแส จนพระเจ้าน้าศรีปิ่นทรงตักเตือนสนมทั้งสองนางให้วางตัวที่เหมาะควรกับพิธีกรรม ซึ่งมิได้มากมายอันใดเพียงแต่นางทั้งสองจะต้องเดินตามวิมาดา นำหน้าข้าหลวงนางรำสองขบวนที่จะโปรยดอกกัลปพฤกษ์ชมพูแซมขาวตามทางเดินเข้าสู่พระตำหนัก ซึ่งวิมาดากำลังเดินนำหน้าขบวนถือพวงกัลปพฤกษ์สู่พระตำหนักบรมพิมานสังวาสของเหล่านาคาธิบดีแต่โบราณกาล
“วิมาดา เจ้าจงยืนห่างจากนางทั้งสอง และยื่นพวงผกานี้แก่ข้า” วิมาดายังมองไม่เห็นองค์อรินทร์ที่ยามนี้ได้มาปรากฏกายต่อหน้านางแล้ว นางจึงทำตามเสียงที่สั่ง จากนั้นลมเย็นอ่อนพลิ้วได้พัดปะทะหน้านาง จนนางนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์ สนมทั้งสองไม่เห็นร่างปรากฏขององค์อรินทร์ ทั้งยังมิได้ยินเสียงที่ทรงสั่งวิมาดา ยิ่งทำให้นางทั้งสองขัดข้องใจ ทั้งยังสงสัยถึงความมหัศจรรย์ขององค์อรินทร์ยิ่งนัก จนนางทั้งสองเกิดความเกรงกลัวหวั่นใจแทนวิมาดา
พระองค์ทรงสั่งข้าหลวงนาคาให้พ่นน้ำขึ้นเป็นสายเพื่อดับเพลิงริษยาจากสนมทั้งสองที่กำลังปะทุเป็นเปลวอยู่โดยรอบพระตำหนัก จากนั้นพระองค์ซึ่งมีพระวรกายเปล่งรัศมีประกายทองทรงอุ้มวิมาดาเหาะลอยขึ้นสู่ยอดพระตำหนัก ซึ่งเป็นหอสังวาสของเหล่านาคาธิบดีที่สืบมาหลายนาควรรษ
“วิสัญญีเวทของข้า...หากคลายลงไปบ้างแล้ว เจ้าคงดีขึ้นกระมัง” องค์อรินทร์ช้อนหน้าวิมาดาเพื่อดูแววตาว่าคลายจากงวยงง..สลบไสลอยู่หรือไม่
“ข้ายัง... งงงวยอยู่เลยเพคะ” วิมาดายังมิได้สติสมประดีในเพลานี้ พระองค์จึงร่ายมฤคเวทปลุกให้นางมีสติกลับคืนมา ด้วยท่านปู่เจ้าสั่งกำชับว่าต้องเริ่มบทสังวาสอย่าได้ล่วงยามสอง
“ข้าจะให้เจ้ามีสติกลับคืนมาก่อน” วิมาดาได้ยินเสียงองค์อรินทร์แว่วที่หูเบาๆ
เพลาไม่นานวิมาดาจึงได้สติกลับคืนมา นางลืมตามองไปรอบห้องที่มีแสงสลัวจากคบไฟตามมุมของหอสังวาส ที่แห่งนี้เป็นหอไม้แกะสลักเป็นรูปนาคาสังวาสโดยรอบห้อง ตรงดวงเนตรของพญานาคาทุกพระองค์มีมณีสีแดงประดับอยู่ และเกล็ดของพญานาคาเหล่านั้นเปล่งประกายเหลืองทองอร่ามตายิ่งนัก วิมาดาอกประหวั่นพรั่นพรึงยามที่มองดูรอบกายเหมือนนางถูกพญานาคาทุกพระองค์จ้องมองมายังนาง
“อย่ากลัวเลย เจ้าเป็นนางที่ข้าเลือกก่อนนางทั้งสอง เจ้าต้องรู้ว่าต้องทำอันใดบ้าง” องค์อรินทร์ยามนี้ ทรงเครื่องนาคาธิบดีเหลืองอร่ามทั่วทั้งองค์ และกำลังร่ายมฤคเวทประกอบพิธีนาคาสังวาสแต่โบราณ เพื่อพระองค์จะมีอายุยืนยาวอีกหนึ่งนาคจุลกัปต่อไปอีกหนึ่งพันปี ความสมบูรณ์แห่งนาคภูมิจะอุบัติขึ้นต่อจากพระองค์ไปอีกถึงพันนาควรรษ หากวิมาดาทำให้พระองค์พอพระทัยนางจะได้รับการเข้าบำเพ็ญบริกรรมกับพระองค์เพื่อนางจะได้กลายเป็นนาคินีกึ่งเทพ และเบื้องหน้านางอาจได้ไปจุติอยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้น
พระองค์สั่งให้นางหลับตาลงนึกภาพตามพระองค์ในบทปฐมสังวาส
จงกลับร่างเป็นนางนาคินี ท่วงวจีเนื้อนางแสนอ่อนหวาน
เรือนสล้างช่างแสนซาบซ่าน รัดรึงร่านสะท้านใจข้าเสียจริง
รัดร้อยถ้อยถี่อย่าหนีห่าง จงถ่างหางรัดรึงพาเข้าสิง
เลือดแล่นสู่กายไม่ประวิง ขอพึ่งพิงกายพักเธอสักครา
กัมปนาทนอกหอรอสังวาส แสนสวาทร่วมกันแซ่ซ้องหนา
ราตรีนี้ต้องชื่นชมสมอุรา เจ้าจงพาข้าขึ้นหาดสวรรยา
หนึ่งสมบัติจัดแจงแต่งแต้ม อร่ามแช่มจากเนื้อนางของข้า
เร่งกำหนัดรื่นรมย์เริงมายา บุหลั่นพาลั่นเลื่อน...ลอยนภา
จงเลียร่างข้าไปจนสุดหาง เกล็ดบางบางขอรอแม่ยี่หวา
ลิ้นเจ้าจงโลมไล้ทั่วกายา จะเพิ่มพละให้ข้าอยู่ยืนนาน
เจ้าจะได้เปล่งปลั่งผุดผ่องใส ตามครรไลสังวาสสองสนาน
ข้าขอมอบผอบจิตรภิบาล ไว้เรียกขานถึงข้ายามจำเป็น
จงเก็บไว้ให้ดีอย่าเปิดเผย เจ้าเคยร่วมกับข้าอย่าให้เห็น
หากศัตรูรู้เข้าจะลำเค็ญ ด้วยจะเค้นให้เจ้าถึงวอดวาย
จำที่ข้าสั่งไว้ให้แม่นมั่น ให้ซ่อนมันยามใดมีภัยร้าย
เจ้าจะรอดจากผองภยันตราย อย่าให้หายเก็บไว้ให้จงดี
องค์อรินทร์ถอยหน่ายคลายกำหนัด ทรงสลัดค่อยถอนห่าง...ทางวิถี
เพลานี้ได้สำเร็จเสร็จพิธี แสนเปรมปรีดิ์สุขสนมสังวาสเอย
วิมาดาระทดระทวยหนึ่งราตรี พอยามเช้านางถูกนำกลับมายังตำหนักสนมของนางด้วยมฤคเวทขององค์อรินทร์
‘เมื่อคืนข้าได้ผอบจากองค์อรินทร์และทรงสั่งให้ข้าเก็บไว้ให้จงดี อย่าได้เผลอบอกอันใดแก่ใครเด็ดขาด’ วิมาดาตื่นขึ้นมาและรีบมองหาผอบจิตรภิบาลนั้น แต่มองไปรอบกายนางก็มิได้เห็นมีสิ่งใด และแล้วมีเสียงดังจากจิตนางขึ้นมาทันใดว่า ให้นางเปิดที่ตู้ข้างตั่งที่นอนของนาง วิมาดาจึงรีบลุกจากที่นอนไปเปิดดูที่ตู้ จึงเห็นผอบสีแดงดั่งพลอยงดงามปรากฏอยู่ที่ชั้นบนสุดของตู้นั้น นางจึงได้นำไปเก็บรักษาไว้อีกตู้หนึ่งที่มีมนตรานาคินีของนางเสกไว้มิให้ใครผู้ใดเข้ามาเปิดได้ นางยิ้มย่องผ่องใสแต่ยามเช้าเดินออกไปที่อุทยานหลวงด้วยจิตใจที่รื่นรมย์ ยังนึกถึงกลิ่นหอมพระวรกายขององค์อรินทร์ ณ ราตรีที่เพิ่งผ่านพ้น
‘พระองค์ดีต่อข้า และยังมอบของกำนัลที่มีค่ายิ่งให้แก่ข้า’ วิมาดาเดินไปนั่งพักอย่างเพลินใจนึกถึงกลิ่นดอกกัลปพฤกษ์ที่นางได้มอบแด่พระองค์ ณ เพลานั้น ซึ่งก่อนเริ่มเข้าสู่พิธีพระองค์ทรงนำพวงผกาดอกกัลปพฤกษ์ขึ้นดอมดมและวางไว้ที่เหนือตั่ง ระหว่างสังวาสกลิ่นนี้อบอวลตลอดเพลา องค์อรินทร์ค่อยมอบความกำหนัดให้แก่วิมาดาด้วยกลิ่นแห่งผกานี้ ส่วนพระองค์ค่อยคืบคลานสู่วังวนแห่งนาคาสังวาสเร้าใจนางยิ่งนัก
วิมาดาพลันตกใจเมื่อสนมทั้งสองนางโผล่ออกมาทันใด แล้วส่งเสียงร้องคำรามดังสนั่นทั่วอุทยาน เพลานี้นางทั้งสองกลายร่างเป็นนางนาคินีชูหงอนสีแดงเพลิงด้วยความริษยาโกรธาที่มีต่อวิมาดา นางหวั่นเกรงภยันตรายจนต้องวิ่งหนีเข้าตำหนัก แล้วปิดประตูร่ายมนตรานาคินีป้องกันมิให้นางทั้งสองตามเข้ามารังควาน
-----------------
รีดเดอร์สามารถอ่านได้ทั้งเรื่องอย่างจุใจ ที่อีบุ๊กเรื่องนี้ได้ค่ะ
Share :
Write comment