Episode 5 : นาฏสังวาส

 

องค์อรินทร์ทรงบำเพ็ญตบะสร้างบารมีให้แก่กล้าหลังจากเสร็จพิธีนาคาสังวาส จิตของสนมทั้งสองมัลลิกาและสุทิสาต้องดับสูญไป ยังความวิตกแก่พระทัยของพระองค์เช่นกัน หากนางทั้งสองมิบังอาจคิดร่วมกระทำการกับแม่เจ้านิลตวง พระองค์อาจจะทรงให้อภัยนางทั้งสองได้ แต่กระทำการเช่นนี้นำมาซึ่งความลุแก่อำนาจขาดสติไม่ยั้งคิด แม่เจ้านิลตวงประมาทคาดการณ์ผิดคิดมิได้ว่า พระองค์มีญาณอสงไขยด้วยบารมีจากการบำเพ็ญตบะจนเกิด ‘มณีพชร’ นำทางพระองค์ การที่แม่เจ้าคิดกระทำร่วมกับสนมทั้งสองฤาจะหลุดรอดจากทิพยญาณอันรู้แจ้งของพระองค์ได้เช่นไร

 

องค์อรินทร์ได้ล่วงรู้จากทิพยญาณถึงวาระใกล้จุติของสนมวิมาดาอีก 10 ขวบนาคะของนาง จึงทรงเรียกนางให้มาเข้าบำเพ็ญตบะร่วมกับพระองค์ เพื่อให้นางหลุดพ้นจากนาคภูมิไปจุติในแดนมนุษย์ หากนางมีบารมีแก่กล้าพอที่จะไปอุบัติในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาได้ก็นับเป็นบุญนับอนันต์ของนาง

“องค์อรินทร์เพคะ ข้าประสงค์จะช่วยตามหาดวงจิตของพระนางทิพปภานาคินีให้พระองค์” วิมาดามีน้ำใจที่งดงามอยากให้พระองค์พบพระนาง เพราะพระองค์มีจิตประดิพัทธ์แต่พระนางเพียงนั้น วิมาดาเองแม้จะได้เข้าพิธีนาคาสังวาสกับพระองค์คราแรกแล้วนั้น แต่พระองค์มิเคยได้เรียกหานางแต่ประการใด ได้แต่บำเพ็ญบารมีอยู่ในถ้ำมณีพชร

“เจ้าเป็นสนมที่ดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าจึงอยากให้เจ้าไปจุติในภพภูมิที่ดี เจ้าจงมาบำเพ็ญบารมีกับข้าจวบ 5 ขวบปีแต่นี้ไป เจ้าทำสำเร็จเมื่อไรเจ้าจะได้ช่วยข้า” ทิพยญาณขององค์อรินทร์เห็นว่านางจะช่วยนำพาพระนางทิพปภากลับมายังรัตนนาคาบุรี

ในเบื้องหน้า พระองค์จึงให้นางมาเข้าพิธีบำเพ็ญบารมีทุกวันมิได้ขาด 

“องค์อรินทร์เพคะ ข้ายังมิได้แจ้งใจว่า บัดนี้ดวงจิตของพระนางไปจุติ ณ แห่งใด”    วิมาดาอยากรู้เป็นกำลัง 

“ข้าเองกำลังตามหาดวงจิตของนางอยู่ แต่ดวงจิตของนางยังมิได้จุติ ข้าจึงยังตามหาไม่พบ” องค์อรินทร์ยังโทมนัสคิดถึงพระนางไม่วายเว้นทุกเพลา ด้วยพระองค์ทราบด้วยญาณว่า พระนางเคยศึกษาการดับเวทนาที่เกิดจากผัสสะทั้งหกเพื่อปลดวิบากกรรรมของชาตินาคินีกับเจ้าป้าปทุมวดี พระองค์แน่ใจว่าพระนางต้องไปจุติในมนุสสภูมิอย่างแน่นอน แต่ญาณของพระองค์ยังตามหาดวงจิตพระนางไม่พบ

“ข้าอยากช่วยองค์อรินทร์นะเพคะ” วิมาดาอยากช่วยพระองค์เพื่อนางจะได้หลุดพ้นจากวิบากกรรมของชาตินาคินี

“เจ้ามีความอันใดบอกข้ามา จะช่วยข้ากระนั้นฤา” องค์อรินทร์ทรงซาบซึ้งในน้ำใจอันดีนี้

“พระองค์ตามดวงจิตพระนางพบยามใด เมื่อถึงคราจุติของข้า ข้าขอไปเกิดเป็นข้าบาทของพระนาง...ได้ไหมเพคะ” องค์อรินทร์ยินดีที่นางมีจิตใจงดงามเพียงนี้ แต่ด้วยพระองค์ยังสงสัยและไม่แจ้งใจว่า อันนารีทั้งหลายย่อมมีมารยาสาไถหลายร้อยเล่มเกวียนประหนึ่งว่าเข้าใจยากหนักหนา

“เจ้าจงมาบำเพ็ญสวดบทดับเวทนาปลดวิบากจากนาคภูมิทุกวัน แล้วเจ้าจะได้สมประสงค์” องค์อรินทร์ทรงย้ำเตือนมิให้นางขาดการมาบำเพ็ญภาวนา ต้องมาที่ถ้ำมณีพชรในเพลาเช้าและพลบค่ำจึงจะกลับออกไปได้

 

ครบ 5 ขวบปีที่วิมาดาได้บำเพ็ญภาวนาทุกวันมิได้ขาด นางกำหนดวาระจิตดับเวทนาจากผัสสะทั้งหกได้ แต่วาระจิตของนางยังไม่ถึงเพลาดับสูญ นางยังวิตกว่าความปรารถนาของนางที่จะพ้นจากนาคภูมินั้นจะเป็นจริงประการใดด้วยนางเคยได้ยินมารดาบอกนางว่าแดนมนุษย์นั้นแสนสุดวิเศษสวยงามประหนึ่งแดนสวรรค์ก็มิปาน นางจึงอยากไปจุติเป็นมนุษย์ยิ่งนัก

 

วันหนึ่งเพลาบ่าย องค์อรินทร์ทรงคลายจากการบำเพ็ญ ทรงเรียกวิมาดาด้วยกระแสจิตให้มานั่งอยู่เบื้องหน้าใกล้พระราชอาสน์ของพระองค์ กระแสจิตของนางยามนี้แก่กล้าเพียงพอที่จะรับกระแสจิตของพระองค์ได้

“เจ้าจงเพิ่มบทสวดจิตรภิบาล ที่ข้าเคยมอบผอบมณีแดงแก่เจ้าในพิธีสังวาสเมื่อครานั้น” องค์อรินทร์ได้มอบคาถาบท ‘จิตรภิบาล’อันมีหัวใจผัสสะทั้ง 6 บรรจุอยู่ในผอบ นางจะต้องหมั่นสวดคาถากับผอบนี้ทุกยามก่อนเข้านอน ผอบนี้จะไปพร้อมกับการจุติของนางในเบื้องหน้า พระองค์จะมอบให้นางไว้เพื่อป้องกันผองภยันตราย พร้อมช่วยเหลือพระนางทิพปภาด้วยเช่นกัน

“องค์อรินทร์ ข้าจะกลับมาอีกเพลาใด ยามนี้ข้าได้บำเพ็ญมาครบจวบ 5 ขวบปีแล้วนะเพคะ” วิมาดาอยากรู้ว่าพระองค์จะให้นางกระทำอันใดอีก

“เจ้าจงมาหาข้ายามพรุ่งเพลารุ่งสาง เจ้านึกถึงข้าคราตื่นขึ้น ข้าจะพาเจ้ามาที่นี่เอง”

องค์อรินทร์อยากให้นางเข้าพิธีนาฏสังวาสกับพระองค์อีกครา เพื่อให้นางหลุดพ้นจากบ่วงมายาที่ยังอยู่ในห้วงของจิตที่ยังไม่หลุดพ้น นางยังมีกำหนัดถึงรสกามสังวาสคราก่อน ทำให้พระองค์กระทบผัสสะถึงดวงจิตของนางซึ่งยังไม่คลายริษยาถึงพระนางทิพปภา  พระองค์จึงรู้แจ้งว่าจะทำให้นางเติมเต็มก่อนไปจุติ ต้องวางจิตคลายพิษริษยาให้จางลง

“องค์อรินทร์ จะมิแจ้งให้ข้ารู้ก่อนฤาว่าจะทำการอันใด” วิมาดาถามด้วยความสงสัยยิ่งนัก

“เจ้าจะรู้เอง เมื่อถึงยามนั้น อย่าขัดใจข้าจำไว้” องค์อรินทร์ทรงบอกให้นางนำผอบจิตรภิบาลมาวางไว้ตรงเบื้องหน้าเพลารุ่งสาง แล้วพระองค์จะนำพานางมาที่ถ้ำนี้

วิมาดายังความสงสัยด้วยจิตที่มีบ่วงกรรมของนาง ทำให้นางกลับไปด้วยความขัดข้องใจว่าองค์อรินทร์จะให้นางเข้าพิธีกรรมอันใดอีก ในเมื่อนางก็ได้บำเพ็ญบารมีครบ 5 ขวบปีแล้ว เพลารุ่งสางยามพรุ่งนางจะถูกนำมาที่ถ้ำมณีพชรด้วยพระองค์เอง ซึ่งนางจำเป็นต้องกลับไปดูว่าผอบอันเป็นพลอยสีแดงของนางยังคงอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมหรือไม่

นางกลับมายังตำหนักค่ำมืด ต้องหาคบไฟมาตรวจดูผอบที่องค์อรินทร์เคยมอบให้ บัดนี้นางได้ผ่านม่านมนตราที่เคยร่ายซ่อนปิดไว้ เปิดตู้ข้างตั่งของนางเพื่อนำออกมาดู จึงพบว่ายังอยู่ที่เดิม ผอบ ‘จิตรภิบาล’ นี้มีแสงสีแดงสดใส นางนำออกมาวางบนฝ่ามือ จึงเห็นแสงสะท้อนแวววาวออกมา และอยากรู้ว่าข้างในมีอะไรเก็บซ่อนอยู่ แต่ด้วยเกรงกลัวต่อคำสั่งว่า วันพรุ่งเพลารุ่งสาเท่านั้นที่พระองค์จะให้นางนำไปเข้าพิธีกรรม จิตอันเป็นโมหะของนางที่ยังไม่หลุดพ้นบาป ทำให้นางถือวิสาสะกระทำการก่อน นางจึงเอามือเปิดสลักผอบน้อยแต่แล้วนางต้องผวาทิ้งผอบทันใด เพราะนางถูกพิษที่พ่นจากผอบใส่มือนาง พลันนางก็ได้ยินพระสุรเสียงองค์อรินทร์ดังสนั่นกึกก้องทั่วตำหนัก บัดนี้ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยเกรงกลัวต่อความผิด

“ข้าเตือนเจ้าแล้ว เจ้าอาจมีบาดแผลเป็นสีนิลนี้ติดตัวเจ้าไปสู่ภพชาติที่ไปจุติใหม่...จำไว้” วิมาดาสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกพิษจากผอบมณีแดงนี้

“วันพรุ่ง ข้าจะมารับเจ้า ทั้งที่เจ็บปางตาย” วิมาดาปวดแสบยิ่งนัก ด้วยความอยากรู้ของนางทำให้เกิดวิบากเยี่ยงนี้

 

วิมาดาคิดถึงหาบิดาและมารดาของนางยิ่งนัก ทั้งสองคงยินดีที่นางได้มาเป็นสนมที่วังขององค์อรินทร์ แต่หารู้ไม่นางต้องมาเจอวิบากต่างๆ ที่ทำให้นางต้องเหงาเศร้าโศก สนมทั้งสองก็จากนางไปหมดแล้ว ข้าหลวงที่นคราแห่งนี้ไว้ใจอันใดมิได้ มีจิตริษยานางแทนที่จะช่วยเอื้อเฟื้อดูแลอันดี ดวงจิตนางสะอื้นไห้อยู่ตลอดคืนจนรุ่งสาง 

 

รุ่งสางนางตกใจตื่นขึ้น ทันใดก็มีลมวาบหวิวปะทะบนใบหน้า ผอบที่ทิ้งลงไว้บนโต๊ะข้างตั่งตั้งแต่เมื่อคืนยังอยู่ แสงสีแดงแวววาวส่องเข้าตานาง ทำให้นางต้องไปหยิบมาไว้บนฝ่ามืออีกข้าง แล้วรู้สึกว่าตัวนางเบาหวิวล่องลอยมายังถ้ำขององค์อรินทร์ทันที

“ฝ่ามือเจ้าดีขึ้นฤาไม่” องค์อรินทร์ร่ายมฤคเวทเข้ากลางฝ่ามือที่ถูกพิษเมื่อคืน ทำให้นางหายจากความเจ็บปวดไปทันใด

“ข้าขอประทานอภัย ด้วยจิตที่มืดบอด” วิมาดาสะอื้นขอโทษพระองค์

“ข้าบอกห้ามอันใดแก่เจ้า เจ้าต้องกระทำการอันควร” องค์อรินทร์ขึ้นเสียงกึกก้องน่ากลัวยิ่งนัก วิมาดารู้แจ้งแล้วว่าพระองค์ทรงมีญาณอันพิสุทธิ์ นาคะฤานาคินีตนใดบังอาจล่วงกระทำผิดมิได้ 

“พิธีนาฏสังวาสนี้ ข้าจะกระทำเพื่อปลดปล่อยเจ้า ให้เจ้าคลายกำหนัดรัดตัวเจ้ามานานหลายขวบปี นับแต่คราพิธีนาคาสังวาส เจ้ายังครุ่นคิดแต่รสกามสังวาสครานั้น ข้าก็มิรู้จะทำอันใดช่วยเจ้าได้นอกจากวิธีนี้ เจ้าจะได้ไปจุติโดยหลุดบ่วงกำหนัดจากข้าไปให้ได้” องค์อรินทร์แจ้งวิมาดา 

“ข้าจะยังกำหนัดรัดรึงอยู่ชั่วกาล คราที่คิดถึงหายามนั้นที่พระองค์ทรงสังวาสกับข้านะเพคะ” วิมาดายังเผยถึงจิตที่พระองค์ก็ล่วงรู้ก่อนหน้านี้แล้ว 

“ข้ากับเจ้าจะต้องร่วมนาฏสังวาสก่อนโมงเช้า” องค์อรินทร์บอกว่าหากเลยโมงเช้า แสงอาทิตย์จับต้องกายของทั้งสอง จะทำให้นาฏสังวาสเสื่อมขลัง พระองค์และนางจะเสื่อมถอยจากฤทธานุภาพที่บำเพ็ญถึง 100 ขวบปี นางจะไม่หลุดพ้นจากบ่วงกรรมนาคภูมินี้ไปอีกนาน

“เจ้านำผอบยกขึ้นกลางหน้าผาก” องค์อรินทร์สั่งให้นางเอาผอบมณีแดงวางลงบนฝ่ามือข้างที่ถูกพิษเมื่อคืน แล้วยกขึ้นกลางหน้าผาก พระองค์แปลงร่างทรงเครื่องนาคาธิบดีเหลืองอร่ามงดงามต้องตานางยิ่งนัก ผอบน้อยเปล่งรัศมีแดงทั่วร่างนาง แปลงร่างนางในชุดร่ายรำบูชานาคเทพต่อหน้าพระองค์ นางมองร่างที่จำแลงนี้อย่างชื่นชม พระองค์สมสง่าท่วงทีเดินย่างกรายด้วยท่ารำเฉิดฉาย มาช้อนมือนางให้เข้าท่ารำกับพระองค์

               ด้วยเทพจำแลงเป็นมานพน้อย             งามชดช้อยท่วงท่าสง่าสม

               พระองค์ร่ายรำคลำเคล้าเข้าดม            คลึงนวลนมลูบไล้จูบนางเธอ

               องค์อรินทร์หมุนนางเข้าในสุด              บรรจงเข้าจุดกำหนัดท่วงทีเผลอ

               เสียวกระสันจนนางร้องพร่ำเพ้อ           รำเสนอร่างก่ายองค์อรินทร์    

               พระองค์ยังทรงเบียดดุนหลัง               นางแทบคลั่งครวญครางสิ้น

               นางรำทำยั่วเย้าระรวยริน                     ร่างด่าวดิ้นรื่นรมย์สมอุรา

               องค์อรินทร์ทรงพละไม่ถดถอย             บำรุงถ้อยทีกระหวัดพระพาหา

               โอบรัดพระเพลาเบียดเนื้อนา                ตรึงกายาแนบเนื้อนวลลำเพา

               นางหมุนเอวส่ายเข้าเวียนวน                ยลกำยำเนื้อองค์งามเสลา

               พละแน่นเปล่งปลั่งลำเทียนเจ้า             ท่วงท่าเข้าที่นางกลางดวงใจ

               ด้วยท่วงท่านาฏลีลาสวาท                    พิลาสพิสุทธิ์ยอดเนินไศล

               วิมาดายวนยั่วถึงพระทัย                      ฟ้อนท่าใส่งามล้ำทั่วสะคราญ

               ทั้งสองยังไม่หน่ายคลายกำหนัด           อ่อนช้อยรัดรึงใจสมสนาน

               สมใจวิมาดาแช่มชื่นบาน                      ประสานนิ้วริ้วรำเชิงลีลา

               แสงสุรีย์ลอดผ่านผนังถ้ำ                     จากย่ำรุ่งถึงเพลานี้แล้วหนา

               จะล่วงเลยมิได้นะแก้วตา                      ด้วยพากันวิบัติเพราะรัดรึง

               องอรินทร์คลายถ้อยที่ร้อยไว้                เข้าท่าให้นางถอย...ทางที่ถึง

               ออกจากวังสวาทอึงคะนึง                     จึงกลับสู่ไอศูรย์มหิธรา

               แล้วส่งนางที่ตำหนักของสนม               ช่วยระดมข้าหลวงดูดพิษให้

               ฝ่ามือยังแสบพิษระบมไป                      แต่รักษาได้ด้วยบำเพ็ญธรรม

               องค์อรินทร์มอบบทฤคเวท                    สวดครบเจ็ดยามช่วงเพลาค่ำ

               ก่อนนอนพินิจให้จดจำ                          อย่าถลำบ่วงพิศวาสวินาศเอย

 

องอรินทร์ให้วิมาดาท่องมนตราเพื่อรักษาบาดแผลจากพิษที่ยังระบม ทว่าพระองค์ได้แก้พิษไปบ้างแล้ว กระนั้นนางยังปวดร้าวระบมพิษสุมอยู่ภายใน บ่วงพิศวาสที่สุมอยู่ในจิตนางยังต้องใช้เวลาอีก 5 ขวบปีก่อนที่นางจะไปจุติ หากนางยังมีจิตริษยาในกำหนัดขององค์อรินทร์ นางจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมมิได้ แม้จะจุติในมนุสสภูมินางก็จะตามไปกระทำการมิบังควรต่อพระนางทิพปภา การบำเพ็ญของนางที่ได้กระทำมานั้นจะหมดสิ้นไปแล้วนางก็ยังจะกลับมาสู่ภพภูมิเดิมอีกครั้งซึ่งองค์อรินทร์ได้ทรงล่วงรู้แล้วว่านางยังต้องอาศัยเวลาเพื่อบำเพ็ญให้หลุดพ้นจากผัสสะทั้งหก

 

-----------------

รีดเดอร์สามารถอ่านได้ทั้งเรื่องอย่างจุใจ ที่อีบุ๊กเรื่องนี้ได้ค่ะ


View : 0

Share :


Write comment