Episode 2 : โศกกำสรวล

 

ท่านปู่เจ้าเวทจิตราได้แนะนำพระนางทิพปภานาคินี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่นางฝ่ายเสด็จปู่พระชนกของพระนางเป็นโอรสของเชษฐาในเสด็จปู่ ท่านปู่เจ้าทรงเชิญพระองค์มาร่วมเป็นองค์สักขีในการประกอบพิธีขึ้นครองบัลลังก์รัตนนาคาบุรีขององค์อรินทร์ ‘พญาภัทรสุทธินาคิน’ 

 

ท้าวพญาแสงสูรย์สัญเวทย์...เจ้าแห่งไกรศวรบัลลังก์ ทรงมีโอรสและธิดาเพียงสองพระองค์ พระนางทิพปภาเป็นขนิษฐาส่วนพระโอรสสิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์เหลือแต่นางพระองค์เดียว พระนางมีอายุมากกว่าองค์อรินทร์ถึง 5 ขวบ แต่ด้วยพระสิริโฉมและจริยาวัตรต้องพระทัยองค์อรินทร์ยิ่งนักคราที่เสด็จตามพระชนกมาร่วมในพิธีขึ้นครองนาคบัลลังก์ของพระองค์ องค์อรินทร์แม้จะไม่เคยพบนางมาก่อนแต่ทรงได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า นางเป็นผู้มีจริยาวัตรงดงามทั้งยังทรงสิริโฉมด้วย แลได้ทรงพาทีด้วยทุกเพลาค่ำก่อนหน้านี้ด้วยสังวาล ‘มณีพชร’ ที่เป็นสื่อคล้องใจ

“เจ้าน่าจะอยู่เที่ยวชมเมืองของข้าสักหกถึงเจ็ดเพลา ข้าจะพาไปชมถ้ำสายฟ้าซึ่งเป็นที่ก่อเกิด ‘มณีพชร’ ของข้า น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก” องค์อรินทร์ได้เชื้อเชิญให้ทิพปภาอยู่ต่อเพื่ออยากทราบพระทัยของนาง 

“องค์อรินทร์จะให้ข้าอยู่นานหลายเพลา จะมิไปรบกวนราชกิจของพระองค์ฤาเจ้าคะ” นางเกรงว่าหากไม่อยู่ต่อจะกระทบพระทัยขององค์อรินทร์ แต่ยังนึกหวั่นว่าพระองค์มีสนมนาคีอยู่ถึงสามนาง จะมิบังควรที่จะทำให้

บรรดานางทั้งสามต้องมิชอบใจด้วยเหตุนี้

“ท่านพ่อ... จะอยู่ต่ออีกเจ็ดเพลาเจียวรึ...เจ้าค่ะ” ทิพปภาสอบถามพระชนก นางเกรงว่าเนิ่นนานจะมิบังควร ครั้นเห็นเหล่าสนมขององค์อรินทร์แล้ววิตกว่าจะเกิดเรื่องร้ายแก่นางเอง ด้วยจิตสังหรณ์ของนางกระทบมโนผัสสะของเหล่าสนมทั้งสามนั้นได้

“พ่ออยากต่อบทสวดศิรสังหิตาจากท่านปู่เจ้าเวทจิตรา...เจ็ดเพลาอาจยังมิพอ พ่ออาจต้องได้กลับมาอีกช่วงพิธีเสกสมรสขององค์อรินทร์” 

“ท่านแม่จะรอเรากลับนครานะ...เจ้าค่ะ” นางยังทรงยืนยันว่าเจ็ดเพลานั้นเนิ่นนาน ในพระทัยแล้วอยากกลับไปต่อจริยาวัตรของนาคินีแต่โบราณกับเจ้าป้าปทุมวดี

“ลูกอยากไปต่อบทสวดดับเวทนาของนาคินี” ทิพปภายังต้องต่อการดับเวทนาที่เกิดจากผัสสะทั้งหกเพื่อปลดวิบากกรรรมของชาตินาคินี หากหลุดพ้นจากตรงนี้ภพภูมิถัดไปคือ มนุสสภูมิหรือหากสูงกว่านั้นอาจจะได้จุติเป็นเทพบุตรหรือเทพธิดาในชั้นจาตุมหาราชิกา

 

“พระนางเพคะ องค์อรินทร์ทรงรอพระนางอยู่ ณ อุทยานหลวง” ข้าหลวงนาคีมาเชิญนางไปพบองค์อรินทร์ 

“เจ้ารู้ไหมว่า มีเรื่องอันใด” ทิพปภาเกรงพระทัย แต่ใจหนึ่งคิดว่าพระองค์ทรงมีเหตุให้พบตนเอง

“ไม่...เพคะ” ข้าหลวงนาคีตอบแล้วออกไปทันที นางจึงปลงใจว่าจะไปลองดู หรือว่าองค์อรินทร์จะพาไปชมถ้ำสายฟ้าที่ได้บอกไว้เมื่อสองเพลาก่อน

อุทยานหลวงมีพันธุ์ดอกไม้นานาแต่งแต้มสีสันวิจิตรสวยงาม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมากับสายลมบางเบา เมื่อลมพลิ้วปะทะหน้าของนางเธอ องค์อรินทร์จึงมาปรากฏกายเป็นนาคมานพธรรมดาปราศจากเครื่องทรงนาคาธิบดี และทรงโค้งคำนับเพื่อขอจับมือนางแล้วจึงพาไปชมอุทยานเหมือนนางเป็นเจ้าแต่พระองค์กลับเป็นบ่าวทรงเล่นเหมือนเด็กๆ ในยามนี้

“องค์อรินทร์เจ้าคะ ข้าคงเขินอายเป็นแน่แท้ ถ้าต้องให้พระองค์ทำเยี่ยงนี้” นางอายอย่างยิ่งที่ต้องทำตัวสูงศักดิ์กว่าองค์อรินทร์

“ข้าอยากเล่นซ่อนหากับเจ้า” องค์อรินทร์ทรงเป็นกันเองจนนางรู้สึกว่ามิบังควร

“พระองค์เป็นนาคาธิบดี ข้ากระทำตนหมิ่นพระองค์อยู่นะเจ้าค่ะ” นางรู้สึกเขินอาย

“จะให้ข้าสำราญบ้างไม่ได้เจียวรึ” องค์อรินทร์ยังกึ่งจูงกึ่งบังคับมือนางให้เดินตามไป มิรู้ได้ว่าหนทางใดที่องค์อรินทร์จะพานางไป

“ขอพักตรงนี้ก่อนได้ฤาไม่ ข้าอยากชมสวนเนรมิตของพระองค์เป็นขวัญตา ยามกลับนคราจะได้พึงอวดชนนีว่า อุทยานหลวงขององค์อรินทร์มิอาจหาที่ใดเทียมได้” ทิพปภาอยากเฉไฉให้พระองค์ปล่อยมือไปจากนางจะได้รู้สึกโล่งหทัย

“เจ้าคงมองว่าข้าวิปริตผิดเพี้ยนเป็นแน่แท้ ...เพลานี้ข้าจะแปลงร่างเจ้าเป็นสาวชาวบ้าน” นางตกใจมองหน้าองค์อรินทร์

“พระองค์จะรู้ว่าข้าจะสวมเสื้อผ้าเช่นไร ขนาดนั้นเจียวรึ” นางแอบหัวร่อ

“ไม่ดอก ข้าแค่เห็นพวกข้าหลวงใส่กัน มิดีดอกรึ” องค์อรินทร์คงอยากได้แค่แต่งองค์แบบชาวบ้าน

“ดีสิเจ้าค่ะ มิบังควรที่ข้าเองทำตัวสูงกว่าพระองค์” นางรู้สึกว่าโล่งอกอย่างน้อยก็ทำตัวให้เสมอกัน

“ตำแหน่งนี้เป็นที่...ที่ข้าเคยเล่นกับเหล่าข้าหลวงยามที่ข้ายังเด็ก” พระองค์ยังเล่าไปเรื่อยๆ ว่า พระองค์ว้าเหว่มากมายเพียงใดที่ขาดชนกชนนีตั้งแต่ยังมิรู้ความอันใดเลย มีแต่ท่านปู่เจ้าเวทจิตราและเจ้าน้าศรีปิ่นทรงอุปการะสั่งสอนดูแลพระองค์มาจวบจนเพลานี้

“พระองค์น่าสงสารยิ่งนัก ข้ารู้แล้วว่าเพลานี้พระองค์ขาดสหาย ข้าเป็นสหายกับพระองค์ไปตลอดได้...นะเจ้าค่ะ” ทิพปภาสงสารที่พระองค์คงโศกกำสรวลกับความสูญเสียอันใหญ่หลวงนี้

“ข้าต้องชะตาเจ้าตั้งแต่วันแรก รู้ว่าเจ้ามีจิตใจที่งดงามเพียงใดด้วยผัสสะของข้า” องค์อรินทร์มีญาณสัมผัสที่เข้าถึงใจของผู้ที่พระองค์หมายไว้

“ข้ายังไม่แจ้งใจว่าพระองค์จะทำอันใด หากสนมทั้งสามยังวิตกในพระองค์” นางถามด้วยความสงสัย

“ข้าบอกท่านปู่เจ้าแล้วว่าจะให้นางทั้งสามอยู่ในที่อันควรของสนมนาคินี  เจ้าจะกังวลไปใยเล่า” องค์อรินทร์ไม่บอกว่าจะทำอันใดต่อหลังจากนี้ ทำให้นางกังขายิ่งนัก 

“พระองค์อย่าลืมนะเจ้าค่ะ อันหญิงใดถ้าหมายไว้แล้วจะสละนางไปมิบังควร” นางคิดว่าพระองค์ต้องรู้มโนธรรมข้อนี้

“ข้ารู้และแจ้งใจว่าเจ้าต้องมีเหตุให้ขัดใจข้า” องค์อรินทร์จับมือทั้งสองและสบตานาง

“ไม่...นะเจ้าค่ะ พระองค์บังคับข้าอยู่” นางอยากสะบัดมือออกแต่ด้วยทรงบีบมือแน่นเหมือนไม่ยอมปล่อยนาง

“ข้าจะพาเจ้าไปดูถ้ำที่เพชรสายฟ้าก่อกำเนิดขึ้น มา...มาจับมือข้าแล้วเราไปกัน” องค์อรินทร์ให้นางจับมือแล้วหายตัวทะลุผนังถ้ำด้านนอกเข้าไปยังด้านในพร้อมกัน 

“ลืมตัวสลัดมือหลุดจากข้า...มิได้เจียวหนา” องค์อรินทร์เสียงดังกึกก้องในถ้ำ เหมือนเป็นนิมิตให้นางจำต้องกระทำตาม

“ในถ้ำแห่งนี้หอมดั่งดอกปาริชาติอบอวลอยู่ทั่วเขตอาณา ข้าอยากดอมดมและจำไปเล่าให้ชนนีฟังถึงถ้ำที่พระองค์มาบำเพ็ญภาวนาจนเกิดมณีอันล้ำค่า” นางชมองค์อรินทร์จนพระเนตรมีแววปลื้มปีติ ทำให้พระองค์ยิ่งทรงหลงใหลเสียงนางที่ก้องกระทบผนังถ้ำ 

 

หอมกลิ่นระรวยบุหงาผกากรอง             

หอมแก้มน้องนางเอยเชยชิดใกล้

หอมนี้ช่างเย้ายวนแสนบาดใจ              

หอมเนื้อนวลยองใยใคร่เด็ดดอม

 

องค์อรินทร์ทรงจับมือนางอยู่ข้างหนึ่งและเอาพระหัตถ์อีกข้างลูบไล้ดวงพักตร์นาง แล้วทรงจุมพิตนางอย่างดูดดื่มนิ่งไปชั่วยาม...จนเคลิบเคลิ้ม นางจึ่งเผลอลืมตัวมือที่จับไว้หลุดออกจากพระหัตถ์ขององค์อรินทร์ 

 

สายฟ้าจาก ‘มณีพชร’ พร้อมเสียงนิลไสยเวทดังคำรามอยู่ในผนังถ้ำ และแล้วเสียงอสุนีดังก้องกัปนาทพร้อมแสงสีฟ้าฟาดลงตรงกลางตัวทิพปภา จนนางแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนขององค์อรินทร์ พระองค์ตกพระทัยจนลืมถึงมฤคเวทที่จะนำพาดวงจิตของนางกลับเข้าร่างภายในหนึ่งชั่วยามซึ่งรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ณ เพลานี้ไม่ทันเสียแล้ว พระองค์ทรงอุ้มร่างนางออกจากถ้ำด้วยน้ำพระเนตรนองพระพักตร์

 

พระองค์ทรงเนรมิตองค์กลับดังเดิม อุ้มร่างของนางที่ดวงจิตถูกสายฟ้าฟาดดับสูญกลับมายังพระตำหนัก ซึ่งการณ์นี้ยังความโทมนัสแก่พระชนกของนางยิ่งนัก พร้อมทั้งข้าหลวงที่ติดตามมาร่ำไห้เสียงระงมไปทั่ว องค์อรินทร์ทรงกอดร่างนางไว้แล้วซบพระพักตร์นิ่งอยู่นาน จนท่านปู่เจ้าและพระเจ้าน้าเตือนพระองค์ให้ลดความโศกกำสรวลลงบ้าง

“ข้าเป็นเหตุให้นางต้องดับสูญ จะทำอันใดดีท่านปู่เจ้า” องค์อรินทร์ทรงสะอื้นไห้แทบวายหทัย 

“หลานต้องส่งมอบร่างทิพปภากลับคืนสู่ทิพยานคราพร้อมพระชนกของนาง” ท่านปู่เจ้าวิตกถึงความผูกพันอันดีงามจะมาขาดสะบั้นลงด้วยเหตุนี้

“พญาแสงสูรย์สัญเวทย์จะทรงกริ้วโกรธาเอากับหลาน เพลานี้เราคงจะทำอันใดมิได้” ท่านปู่เจ้าตักเตือนองค์อรินทร์

“เราต้องให้พระองค์แจ้งใจว่าเหตุนี้สุดห้ามมิได้ แล้วลุงจะบอกให้พระองค์รู้ที่มาแห่งเหตุ” ท่านปู่เจ้าจะช่วยระงับข้อบาดหมางนี้ลงได้

ครั้นองค์อรินทร์ทรงมอบร่างพระนางทิพปภาคืนสู่นครา พระองค์ทรงปิดวาจากับเหล่าข้าหลวงทั้งปวงรวมทั้งสนมสามนาง นับจากเพลานั้นที่หทัยของนางดับสูญ พระองค์ได้แต่ทรงจำศีลภาวนาอยู่ในถ้ำ ‘มณีพชร’ ทุกเพลานาทีแทบมิได้ทรงออกมานับแรมเดือน

 

บรรดาเหล่าสนมนาคีทั้งสามนางต่างพากันวิตกถึงสถานะของตน และพากันกล่าวโทษว่าทิพปภาเป็นเหตุให้นางทั้งสามต้องกลายเป็นนาคินีอนาถาไร้ที่พึ่งจากองค์อรินทร์ นางจะไปเป็นชายาหรือสนมพญานาคาธิบดีตนใดมิได้ด้วยขัดข้องติดอยู่ที่วังขององค์อรินทร์แห่งนี้

“ท่านปู่เจ้า...เจ้าขา ข้าทั้งสามจะอยู่กันเช่นไร” สนมวิมาดาสอบถามแทน ด้วยสองนางเห็นพ้องว่านางมีมธุรสวาจา

“เจ้าทั้งสามจะไปอยู่ที่แห่งใดมิได้ ด้วยองค์อรินทร์รับเจ้าเป็นสนมนาคินีเจ้าแล้ว” ท่านปู่เจ้าเตือน

 

องค์อรินทร์ยังทรงกำสรวลครวญคร่ำอาลัยถึงทิพปภาที่ทรงมีจิตประดิพัทธ์นับแต่ครั้งแรกที่ประสบพักตร์ พระองค์ยังจำได้ถึงเพลานั้นที่ทรงจุมพิตปากอันอวบอิ่มของนาง

               

พบครั้งแรกรัญจวนใจแทบขาด             

งามผุดผาดราวอัปสรสวรรค์

นวลนางปากอิ่มเอมชมพูนั้น                 

ข้ากระสันเพ้อถึงเจ้า...เนื้อนวลเอย

 

-----------------

รีดเดอร์สามารถอ่านได้ทั้งเรื่องอย่างจุใจ ที่อีบุ๊กเรื่องนี้ได้ค่ะ


View : 0

Share :


Write comment