การเขียนประวัติศาสตร์ตามขนบ ซึ่งมุ่งเน้นการเล่าชีวประวัติ การพรรณนาวีรกรรม และเหตุการณ์ความขัดแย้งของบุคคลสำคัญ รวมถึงการเรียงลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นแนวดิ่งตามราชธานี ตรงกันข้ามกับแนวทางการเขียนประวัติศาสตร์ที่นำเอาสาขาความรู้ต่างๆ เช่น ประชากรศาสตร์ สถิติปริมาณ และเศรษฐศาสตร์ มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ ตลอดจนการพิจารณาสายธารแห่งการเปลี่ยนแปลงของผู้คนและสังคมที่ต้องอาศัยช่วงเวลาอันยาวนาน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์
.
อย่างไรก็ดี อุดมการณ์และแนวคิดจากทฤษฎีเฟมินิสต์และเควียร์จึงถูกนำมาใช้ในการศึกษาและเขียนประวัติศาสตร์ กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่หันมาอธิบาย “เพศภาวะและเพศวิถีในอดีต” ในฐานะสิ่งประกอบสร้างทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง ค่านิยม และอุดมการณ์ การแสดงออกทางเพศและการยืนยันตัวตนทางเพศจึงกลายเป็นพื้นที่ของการดิ้นรนต่อสู้ เคลื่อนไหว และช่วงชิง มีเรื่องเล่า มีที่มาที่ไป มีเหตุการณ์สำคัญในอดีต และมีตัวละครในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งดำรงอยู่ภายใต้ร่มเงาของปิตาธิปไตยและรักต่างเพศนิยม ที่ทำหน้าที่กำหนดโครงสร้าง ช่วงชั้น และจัดระเบียบสังคม
.
รวบรวมบทความจากงานเขียนที่ร้อยเรียงการนิยามและตีความคุณค่าความหมายของเรื่องเพศ ตั้งแต่เรื่องความเป็นแม่หญิงล้านนา การดิ้นรนต่อสู้ของผู้หญิงและ LGBTQ+ ในการประกอบอาชีพครู การปะทะและประท้วงของหญิงมุสลิมภายใต้โครงสร้างชายเป็นใหญ่ รวมถึงความรักของหญิงรักหญิงในโรงเรียนหญิงล้วน การใช้พื้นที่อย่างสนามหลวงและถนนราชดำเนินในการหาคู่ของเกย์และกะเทย ไปจนถึงเรื่องของหญิงชนชั้นนำในราชสำนักกับการแสดงตนในพื้นที่สาธารณะผ่านงานสาธารณกุศล นอกจากนี้ยังเล่าชีวประวัติของผู้หญิงและ LGBTQ+ บางคน เช่น สาริกา กิ่งทอง, ปาน บุนนาค, เทิ่ง สติเฟื่อง และวิมล ศิริไพบูลย์