Episode 7 : วุฒิสภารับพิจารณาวาระ "การจัดระบบจัดการทรัพย์สินของวัด"

บันทึกการเดินทาง 

วุฒิสภารับพิจารณาวาระ

"การจัดระบบจัดการทรัพย์สินของวัด"

กรกฎาคม 2568

By: รณยุทธ์ จิตรดอน

     เนื่องจากมีข่าวเกี่ยวกับพระสังฆาธิการโยกย้ายเงินปัจจัยของวัดโดยมิชอบเสมอมา และเป็นข่าวครึกโครมกรณีวัดไร่ขิง สร้างความเสื่อมศรัทธาแก่ชาวพุทธ เพราะ TDRI เคยมีงานวิจัยว่าปีหนึ่งๆแต่ละวัดมีเงินทำบุญเฉลี่ยถึงวัดละ 3.24 ล้านบาท ถ้าคิดจำนวนวัดทั้งหมดกว่า 40,000 วัดแล้ว มีเงินทำบุญมากกว่า หนึ่งแสนล้านบาท กรณีนี้สมเด็จพระสังฆราชได้มีพระบัญชาเมื่อ 21 พฤษภาคม 2568 ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พิจารณาเสนอจัดตั้ง “คณะอนุกรรมการจัดระบบการจัดการทรัพย์สินของวัด”โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เป็นประธาน ด้วยปัญหาการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดเป็นปัญหาของสถาบันสงฆ์ที่เป็นสถาบันหลักใน 3 สถาบัน จะต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างระบบการบริหารศาสนสมบัติให้โปร่งใส ตรวจสอบได้  เพราะโครงสร้างปัจจุบันยังขาดทั้งการตรวจสอบและรายงานผล และการมีส่วนร่วมของสังคม อันเป็นเหตุให้วัดและสังคมห่างเหินกันอันเป็นเหตุความเสื่อมศรัทธาและความเลื่อมใส

     วันที่ 2 กรกฎาคม  ได้ไปกับ สว.ดร.เอกชัย เรืองรัตน์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกและการทำธุรกิจต่างด้าว เข้าไปยื่นหนังสือเรื่อง“การจัดระบบการจัดการทรัพย์สินของวัด” ต่อท่านประธานวุฒิสภา(ฯพณฯ มงคล สุระสัจจะ) และได้นัดเข้ายื่นเรื่อง ต่อประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะวัฒนธรรม วุฒิสภา (ท่านเอมอร ศรีกงพาน)  และรองประธานคณะกรรมาธิการคนที่หนึ่ง(ผู้ช่วยศาสตรจารย์วราวุธ ตีระนันทน์) และคณะเจ้าหน้าที่คณะกรรมาธิการ มาร่วมรับเรื่องเพื่อพิจารณาต่อไป

https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/248808  

     วันที่ 6 กรกฎาคม  ก่อนจะเข้าline ดอกไม้ประจำเดือนเกิด ต้องเริ่มทำสวนตัดแต่งต้นไม้เอง ก็ได้ถ่ายรูปส่งความสดชื่นให้เพื่อนๆ หากมีโอกาสออกกำลังตัดแต่งต้นไม้บ้างนะครับ สุขภาพจะแข็งแรงห่างไกลโรคร้ายที่ไม่พึงประสงค์ครับ

     ทั้งดอกเฟื่องฟ้าและชบา แม้จะไม่ออกเต็มที่ ได้ดอกบัวและโบตั๋นมาช่วยให้สดใสวันอังคาร

     ดอกโมกข์ดอกมะลิ สร้างเส้นสายกำหนดแนวต้นไม้ เก็บดอกมะลิบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

     การประชุมของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ครั้งที่ 17/2568 ในวันอังคารที่ 8 กรกฏาคม 2568  เวลา 15.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CA 330 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา  

     1.พิจารณาศึกษาและติดตามเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเชิญรองศาสตราจารย์อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าร่วมประชุม นับเป็นไฮไลท์ของการประชุมเพราะเมือประธานาธิบดีทรัมป์ปรับขึ้นภาษี 14 ประเทศ และขึ้นภาษีไทยเป็น 36% หลัง 1 สิงหาคมนี้ ที่พูดกันมากในที่ประชุมคือเงินค่าจ้างล็อบบี้ยิสต์  81 ล้านบาท ยังไม่ได้จ่าย สำหรับผลการเจรจาคงติดตามจากคณะเจรจาฝ่ายไทยเพราะทุกฝ่ายก็มีความเป็นห่วงผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศในไม่ช้า 2.พิจารณาความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการ

https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1188527?anf=  

     วันที่ 12 กรกฎาคม ได้กลับมาเยือนโคราชเพื่อมาทำธุระ เป็นช่วงเวลาหล่อเทียนพรรษาพอดี ซึ่งโคราชเปิดพิธีแห่เทียนเข้าพรรษาไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่รถที่จัดการแกะสลักเทียนยังคงแสดง 4 งานแกะสลักเทียนอย่างประณีตบรรจง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอำเภอพิมาย กว่าจะได้เดินทางกลับ เวลา 21:30 น.แล้ว

     การประชุมของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ครั้งที่ 18/2568 ในวันอังคารที่ 15 กรกฏาคม 2568  เวลา 15.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CA 331 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 1. พิจารณารายละเอียดพระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๘ และพิจารณาร่างระเบียบรัฐสภาที่ออกตามพระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๘  

     1.พิจารณารายละเอียดพระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๘ และพิจารณาร่างระเบียบรัฐสภาที่ออกตามพระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๘ 

     2.พิจารณาความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการ  

     3.เรื่อง“การจัดระบบการจัดการระบบทรัพย์สินของวัด” เสนอประธานวุฒิสภาและคณะกรรมาธิการการศาสนาฯไว้ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 คงจะไม่มีความคืบหน้า  

     ในแง่บริหาร คือในส่วนของพระที่ประพฤติผิดธรรมวินัย (เสพเมถุน) และ การจัดระบบจัดการทรัพย์สินของวัดบกพร่อง

- “การจัดระบบจัดการทรัพย์สินของวัด” เป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

- ถ้าไปแก้ที่ธรรมวินัยของสงฆ์ก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ  

- งานวิจัยของ TDRI เห็นชัดว่า องค์กรสงฆ์เป็นองค์กรที่กระจายตัว แต่ไม่มีการควบคุม ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดการฟอกเงินได้ง่าย

- สว.เอกชัย เรืองรัตน์ รับไปหารายละเอียดการจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา และมาแจ้งให้คณะกรรมาธิการต่อไป ปิดประชุมเวลา 17:00 น.

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354138

     วันที่ 17 กรกฎาคม ได้แวะเข้าไปนมัสการท่านเจ้าคุณพระราชมหาเจติยาภิบาล (เจ้าคุณต่อศักดิ์) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม รักษาการเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ ปทุมธานี ผู้ก่อตั้งโรงเรียนวัดโบสถ์ เมื่อนมัสการลากลับท่านได้มอบกำไลลูกปัดให้เป็นสิริมงคล  

     วันที่ 19 กรกฎาคม ได้เดินทางเข้าโคราชอีกครั้ง พร้อมๆกับที่โคราชได้รับยกขึ้นเป็นเมือง Digital Nomad อันดับ 5 ของโลก ปี 2525 พร้อมทั้งได้มะนาวแป้นกว่า 6 กก.มาฝากอาจารย์และเพื่อนๆสาธิตจุฬาฯ4 CUD 4 ด้วย https://www.nationthailand.com/news/tourism/40052354

     สาธิตจุฬาฯรุ่น 4 CUD 4 ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คณาจารย์และเพื่อนร่วมรุ่นที่เสียชีวิต ณ กุฏิ 5 วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางเขน วันที่ 20 กรกฎาคม เพล

     การประชุมของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ครั้งที่ 19/2568 ในวันอังคารที่ 22 กรกฏาคม 2568  เวลา 15.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CA 330 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา เนื่องจากวันนี้ปิดประชุมวุฒิสภาแล้ว จึงขออนุญาตเลื่อนเวลาประชุม กมธ. เศรษฐกิจ จากเดิม “เวลา 15.00 นาฬิกา”เป็น ”เวลา 13.30 นาฬิกา

     เพื่อพิจารณาความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการ

     ปิดประชุมเวลา 16:30 น.

เรื่อง  การจัดระบบการจัดการทรัพย์สินของวัด

กราบเรียน ประธานวุฒิสภา

ความเป็นมา  

      สืบเนื่องจากมีข่าวการโยกย้ายทรัพย์สินของวัดที่เกิดขึ้นโดยมิชอบเสมอมา เป็นสิ่งบั่นทอนความศรัทธาของสาธุชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา มหาเถรสมาคมจึงมีมติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2568(เอกสาร 1.) เร่งจัดระบบบริหารศาสนสมบัติวัดให้มีความโปร่งใส เร่งสร้างความศรัทธาแก่ชาวพุทธ ให้ พศ. พิจารณาเสนอจัดตั้ง “คณะอนุกรรมการจัดระบบการจัดการทรัพย์สินของวัด”โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เป็นประธาน ด้วยปัญหาการบริหารจัดการสินทรัพย์ได้ปรากฎโดยทั่วไป 

วัตถุประสงค์

เพื่อเร่งสร้างศรัทธาของสาธุชนที่มีต่อพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมา มหาเถรสมาคมจึงมีมติให้ พศ. เร่งจัดระบบบริหารศาสนสมบัติวัดให้โปร่งใส ตรวจสอบได้และเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งนี้การจัดระบบบริหารศาสนสมบัติที่ดีจะต้องมีวัตถุประสงค์ดังนี้

     1. ระบบบริหารศาสนสมบัติที่ดีจะต้องเพียบพร้อม ที่เป็นระบบไม่รวมศูนย์ (decentralized) มีประสิทธิภาพ (efficient) และปลอดภัย(security) ถึงแม้ระบบปัจจุบันจะไม่รวมศูนย์ แต่ขาดระบบเชื่อมโยงจึงทำให้ขาดประสิทธิภาพและไม่ปลอดภัย

     2. นำองค์กรวิชาชีพและผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยจัดให้มีระบบการรายงานและการจัดทำบัญชีรับ-จ่ายของวัดจะทำให้เป็นไปตามหลักกฎหมาย หลักธรรมาภิบาล ตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     3. จัดระบบโครงสร้างให้มีการรายงานและตรวจสอบ (monitoring and reporting) ได้แล้ว ควรจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาสังคม (social participation) ในระบบโครงสร้าง

     4. เพื่อสามารถให้ระบบโครงสร้างจัดการศาสนสมบัติของวัดสนองงานคณะสงฆ์อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ครบถ้วนทั้ง 3 หลักเกณฑ์ คือ ไม่รวมศูนย์ (decentralized) มีประสิทธิภาพ (efficient) และปลอดภัย(security) เมื่อจะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมโยงรองรับระบบกว่า 40,000 วัด จะเป็นระบบที่ใหญ่มาก จึงจะเริ่มต้นเท่าที่ทำได้ก่อน มีการติดตามตรวจสอบ และประเมินผลให้มหาเถรสมาคมทราบหากจะต้องปรับปรุงระบบให้ครอบคลุมมากขึ้น

ข้อเท็จจริง

     การจัดระบบการจัดการทรัพย์สินของวัดภายใต้งบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้แต่ละปี เช่นปีงบประมาณ 2568 พศ. ได้รับจัดสรรงบประมาณ 5,460 ล้านบาทเศษ (เอกสาร 2) ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่จะจัดสรรในส่วนงาน 3 กองคือ กองพุทธศาสนศึกษา กองพุทธศาสนสถาน และกองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และค่าใช้จ่ายทางการปกครองคณะสงฆ์ ส่วนสำนักงานศาสนสมบัติจะจัดเก็บผลประโยชน์จากให้เช่าวัดร้าง (ศาสนสมบัติของวัดที่แต่ละวัดให้เช่าเอง วัดจะจัดเก็บค่าเช่าเอง โดยจะส่งค่าเช่าให้ พศ. 5 รายการคือ 

     ก. ค่าพัฒนาพุทธมณฑล

     ข. เงินกองทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระภิกษุ4สามเณร

     ค. ผ้าป่าโรงพยาบาลสงฆ์

     ง. เงินรักษาโรคเรื้อน และเอดส์

    จ. กองทุนน้อมเกล้าโดยเสด็จพระราชกุศลกรมสมเด็จพระเทพฯ

    ยังมีเงินกองทุนอีกส่วนหนึ่งที่คณะสงฆ์ใช้จ่ายได้นอกเหนือจากเงินงบประมาณแผ่นดิน คือ “เงินศาสนสมบัติกลาง” ทั้งนี้รัฐบาลเคยตั้งให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานฟื้นฟู ด้านศาสนสถานและโบราณสถาน จากสถานการณ์อุทกภัย(ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554(เอกสาร 3)จึงทำให้ทราบถึงการจัดการทรัพย์สินของวัดเป็นอย่างดี กล่าวเรียงลำดับคือ

     1. โครงการที่สามารถดำเนินการได้โดยใช้งบประมาณปกติของส่วนราชการหรืองบประมาณจากแหล่งอื่นๆ เช่น เงินทุน เงินของชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีเงินทุนศาสนสมบัติกลาง เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว จึงสมควรให้ พศ.นำข้อหารือมหาเถรสมาคมเสียก่อน(เอกสาร 4 และ 5)

    2. ได้นำเสนอแนวทางการจัดตั้งกองทุนบูรณะซ่อมแซมศาสนสถาน ซึ่งแนวทางการจัดตั้งกองทุนดำเนินการได้ 2 แนวทาง คือ จัดตั้งตามพระราชบัญญัติ เช่นเดียวกับกองทุนโบราณคดีของกรมศิลปากร และจัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีโดยจะต้องทำเรื่องเสนอให้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณาก่อน หลังจากนั้นจึงจะจัดทำคำขอในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และสามารถรับบริจาคได้ โดยมีวัตถุประสงค์และใช้เงินตามวัตถุประสงค์นั้น เหลือเท่าไรให้นำเข้ารายได้แผ่นดิน (เอกสาร 6)

     3. เป็นโครงการที่ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นของส่วนราชการนั้นหรือส่วนราชการอื่น หากเป็นโครงการที่มีความซ้ำซ้อนก็ต้องปรับลดงบประมาณลง เพราะเมื่อเริ่มอนุมัติเงินงวด พศ.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการติดตามตรวจสอบการบูรณะฟื้นฟูอาคารสถานที่และเสนาสนะของวัดที่ประสบอุทกภัย และต่อมาประธานอนุกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบตรวจสอบดูแลโบราณสถานอีกด้วย (เอกสาร 6, 7 และ 8)

    4. คณะอนุกรรมการฯ ยังมีการประชุมอีก 2 ครั้งเมื่อต้นปี 2555 เพื่อติดตามเรื่องที่จะต้องตรวจสอบว่าโครงการที่จะใช้เงินงบประมาณได้นั้น ต้องไม่เป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้โดยใช้งบประมาณจากแหล่งอื่นๆ ต่อมากรมการท่องเที่ยวเห็นประโยชน์ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม จึงแต่งตั้งให้เป็นคณะทำงานพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม (เอกสาร9,10 และ 11)

     5. พศ.ได้จัดทำรายงานเสนอมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ตามที่มีพระบัญชาให้ พศ.จัดการระบบบริหารทรัพย์สินของวัดให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ดูรายงานแล้วน่าจะเป็นเรื่องการฝาก-ถอนบัญชีของวัดเท่านั้น ไม่เป็นไปตามพระบัญชา เพราะการบริหารทรัพย์สินน่าจะรวมถึง การบันทึกรายรับจากศาสนสมบัติเพิ่มขึ้น เพราะวัดจำนวนมากได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิ ซึ่งกฎหมายให้มีการตรวจบัญชีส่งนายทะเบียนอยู่แล้ว ส่วนการตรวจสอบบัญชีรายรับ-รายจ่ายของวัดหากจะทำโดยใช้เทคโนโลยีแล้วสามารถทำได้เป็นปัจจุบัน(เอกสาร 12)

ข้อคิดเห็น

     นอกเหนือจากที่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานฟื้นฟู ด้านศาสนสถานและโบราณสถานจากสถานการรณ์อุทกภัย(โครงสร้างพื้นฐาน) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 จึงทำให้ทราบถึงการจัดการทรัพย์สินของวัดเป็นอย่างดี ซึ่งการจัดการทรัพย์สินของวัดที่เป็นอยู่ขาดความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ และไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยจึงไม่มีประสิทธิภาพ โดยจะขอกล่าวเป็นข้อๆ คือ

    1. จากผลการศึกษาของ ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม ในรายงาน พฤษภาคม 2568 (เอกสาร 13) แสดงรายรับเฉลี่ยของวัดต่อปีอยู่ที่ 3.24 ล้านบาท (เงินบริจาค เพื่อซ่อมแซมศาสนสถาน 2.02 ล้านบาท  

เงินจากการจัดเครื่องบูชา 1.46 ล้านบาท

เงินในโอกาสพิเศษเช่น กฐิน ผ้าป่า 1.05 ลบ.

     ซึ่งรายการรับต่างๆ นี้ส่วนใหญ่ไม่มีการจดบันทึก ทำให้ไม่มีหลักฐานการรับที่เป็นจริง ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานของรัฐจึงต้องรับผิดชอบทางกฎหมายต่อเงินของวัด

    2.สำหรับรายการใช้จ่ายที่ปรากฎตามงบประมาณประจำปี มีปรากฏรายละเอียดงบประมาณอยู่แล้ว แต่สำหรับการขอใช้จ่ายจากเงินทุนศาสนสมบัติกลาง กลับไม่ปรากฏว่ามีระเบียบวิธีปฏิบัติ ทั้งนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2555 มาแล้ว และเมื่อให้พศ.ขอเงินศาสนสมบัติกลางจัดพิมพ์หนังสือ “วัดที่ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงในรัชกาลปัจจุบัน” เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2567 กลับไม่นำข้อหารือมหาเถรสมาคม (เอกสาร 14)

    3.ได้เคยนำเสนอการจัดตั้งกองทุนบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานไว้ตั้งแต่คราวเกิดอุทกภัย และเรื่องการขอตั้งกองทุนคณะอนุกรรมการได้รับหลักการไว้แล้ว เนื่องจากรัฐบาลต้องใช้งบประมาณแทบจะทุกปีบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานจากเหตุอุทกภัย เพราะ พศ.ไม่เคยที่จะนำข้อหารือมหาเถรสมาคมเพื่อใช้เงินศาสนสมบัติกลาง

     4.วัดจำนวนหนึ่งได้มีการจดทะเบียนมูลนิธิอยู่แล้ว เพราะตามกฎหมายมูลนิธิจะต้องส่งรายงานผู้สอบบัญชีประจำทุกปีอยู่แล้วทำให้ทราบการเคลื่อนไหวของรายรับ-รายจ่ายเป็นปัจจุบัน เช่นกรณีมูลนิธิหลวงปู่ศรี มหาวีโร ที่มีข่าวเงินฝากหายไปจากบัญชี สามารถตรวจสอบได้ เป็นต้น (เอกสาร 15)

ข้อเสนอแนะ

     เพื่อให้ความศรัทธาที่สาธุชนมีต่อพระพุทธศาสนากลับคืนมา จึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างระบบการบริหารศาสนสมบัติให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อสนองงานคณะสงฆ์ เพราะโครงสร้างปัจจุบันยังขาดทั้งการตรวจสอบและรายงานผล(monitoring and reporting) และการมีส่วนร่วมของสังคม (social participation) อันเป็นเหตุให้วัดและสังคมห่างเหินกันอันเป็นเหตุความเสื่อมศรัทธาและความเลื่อมใส

     จึงขอให้ข้อเสนอแนะนี้เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาโครงสร้างการบริหารทรัพย์สินของวัดได้แก่ผู้มีรายชื่อ ดังนี้

    1.นายจรัล ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ทำการศึกษาองค์กรพระพุทธศาสนาให้ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย

    2.นส.ธารทิพย์ ศรีสุวรรณ, นักวิจัยอาวุโส TDRI วิจัยเรื่อง “วัดกับความเสี่ยงที่จะถูกใช้เพื่อฟอกเงิน”  

    3.ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม ทีมวิจัย นโยบายกำกับดูแลที่ดี

    และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรทางพระพุทธศาสนา เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ ของวุฒิสภา

     จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

     สืบเนื่องจากมีข่าวเกี่ยวกับ พระสังฆาธิการโยกย้ายเงินปัจจัยของวัดโดยต่อเนื่องตลอดมาสร้างความเสื่อมศรัทธาแก่ชาวพุทธคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภาที่เป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์อยู่ได้แนะนำให้ทำเรื่อง“การจัดระบบจัดการทรัพย์สินของวัด“ เสนอไปยังประธานวุฒิสภาและ สว.เอกชัย เรืองรัตน์ ได้ยื่นญัตติ เรื่อง“ขอให้วุฒิสภาพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดและทรัพย์สินของพระ และการตรวจสอบการบริหารจัดการ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่พระพุทธศาสนาและสังคม“โครงสร้างวัด กระจายตัวสูง แต่กำกับต่ำเป็นช่องทางสำหรับการทุจริต  

     ตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับทรัพย์สินของวัดที่เกิดการทุจริต และข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ในเวลาต่อมาก็ล้วนเป็นข่าวเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของวัดทั้งสิ้นแม้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้สำนัดงานพระพุทธศาสนาแก่งชาติ (พศ.)พิจารณาจัดตั้ง“คณะอนุกรรมการจัดระบบจัดการทรัพย์สินของวัด” โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เป็นประธาน และให้ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ประกอบวิชาชีพเสนอการจัดการทรัพย์สินของวัดให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเพื่อให้มีประสิทธิภาพให้ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ทั้งๆที่สื่อมวลชนได้นำเสนอผลการศึกษาของ TDRI  หัวข้อ “วัดกับความเสี่ยงที่จะถูกใช้ฟอกเงิน” TDRI ได้เสนอให้ระบบบริหารจัดการเงินมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ และมีความเป็นระบบมากขึ้น ไม่เช่นนั้นวัดซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาของพุทธศาสนิกชนถือเป็นเสาหลักของประเทศจะเสื่อมถอยเพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการระบบการบริหารทรัพย์สินของวัดอย่างจริงจัง  

     1.แต่ที่ พศ. ได้ทำเพียงแค่ออก มติมหาเถรสมาคม เมื่อ 20 มิถุนายน 2568 ปรากฏเฉพาะธุรกรรมทางการเงินเท่านั้น (ซึ่งส่วนใหญ่คือเงินทำบุญเท่านั้น)ไม่ครอบคลุมทรัพย์สินทุกรายการของวัด ที่สำคัญคือ บ/ช ศาสนสมบัติของวัดมีรายรับจากการให้เช่าทรัพย์สิน (ขาด บ/ช ทรัพย์สิน ปรากฏแต่ระเบียบการเปิด บ/ช เงินฝากธนาคาร และแนวทางการจัดทำ บ/ช รายรับ รายจ่าย เท่านั้น)  

    2.มีหลายวัดที่ไม่ประสงค์ที่จะถูกตรวจสอบ ได้จดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิขึ้นต่างหากจากวัด ระเบียบนี้ไม่ครอบคลุม บ/ช ของมูลนิธิ ซึ่งตามกฎหมายต้องส่งรายงานการตรวจสอบบัญชีต่อนายทะเบียน การรายงานทรัพย์สินของวัดควรหมายรวมถึง องค์กรอื่นที่จัดตั้งขึ้นโดยวัด เช่นมูลนิธิ และ ทรัพย์สินของเจ้าอาวาสอีกด้วย เพราะในที่สุดแล้วทรัพย์สินของวัดตกเป็นของวัดเมื่อมรณภาพแล้ว

    3.คณะสงฆ์มีกองทุนซึ่งมีรายรับจากศาสนสมบัติของวัดที่เกิดจากนิติกรรมสัญญาที่ผู้เช่าทำกับ พศ.โดยตรง และเงินที่รัฐบาลมอบให้ ซึ่งปรากฏในรายงานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู ด้านศาสนสถานและโบราณสถาน พ.ศ. 2555 มีจำนวนมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ไม่ปรากฏระเบียบการจัดทำ บ/ช รายรับ-รายจ่าย

     4.การจัดการบริหารทรัพย์สินของวัดที่มีประสิทธิภาพควรจะใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยได้ เพราะ internet เข้าถึงได้ทุกพื้นที่อยู่แล้ว โดยเริ่มต้นให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดดูแลให้แต่ละวัดจัดทำรายการรับ-จ่าย และทรัพย์สินที่เป็นปัจจุบัน เพราะเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตาม พรบ.คณะสงฆ์อยู่แล้ว และพศ.ดูแลทรัพย์สินของเงินศาสนสมบัติกลาง ตามระเบียบการจัดการเงินศาสนสมบัติกลางที่จัดทำขึ้น

     5.หาก พศ. ไม่ “จัดระบบการจัดการทรัพย์สินของวัด”ให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานวิชาขีพที่ควรจะเป็นแล้วเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับวัดก็จะปรากฏไม่หยุดหย่อน และด้วยเกรงความเสื่อมเสียที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่“คดีเงินทอนวัด” และที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนปัจจุบัน พวกกระผมจึงได้ปรึกษาท่านผู้รู้ คือ ท่านจรัล ภักดีธนากุล ซึ่งท่านเองเคยทำข้อเสนอปรับโครงสร้างคณะสงฆ์ต่อพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยมาแล้ว แต่เมื่อไม่มีการปรับปรุงอะไร จึงต้องนำเรื่อง“การจัดระบบจัดการทรัพย์สินของวัด” เสนอประธานวุฒิสภาเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขโดยเร็ว ไม่ให้พุทธศาสนิกชนต้องเสื่อมศรัทธาพระพุทธศาสนาไปมากกว่านี้

https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/248808

     วันที่ 30 กรกฎาคม เวลาบ่าย ได้เข้าไปแสดงความยินดีหลานสาวคนเก่ง พล.ต.หญิง ศรีกันยา ทองใบใหญ่เปิดร้านอาหารทะเล Talay Tai บนซอยสุขุมวิท 50 ได้มอบพระพุทธโสธรเพื่อความเป็นสิริมงคล รวยแล้วก็รวยยิ่งๆขึ้นไปอีก เธอเป็นเจ้าของโรงแรม Best Western ที่ภูเก็ต และคอนโด 2 tower ซอยทองหล่อ16 ยังไม่รู้จะใช้เงินอย่างไรหมด เปิดร้านอาหารทะเลย่านสุขุมวิทอีก

 


View : 0

Share :


Write comment