หนังสือเล่มที่อยู่ในมือของผู้อ่านนี้ ผู้เขียนมีเจตนาที่จะอธิบายและเปรียบเทียบความแตกต่างของแนวคิด Validity และ Reliability ในการ วิจัยเชิงคุณภาพที่ต่างจาก Validity และ Reliability ในการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ค่อนข้างเป็นองค์ความรู้ที่มีความเฉพาะเจาะจง ผู้เขียนจึงไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับการตอบรับจากวงวิชาการมากมายถึงขนาดที่หนังสือที่พิมพ์ครั้งที่ 1 หมดจากตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้เขียนตัดสินใจพิมพ์หนังสือเล่มนี้เป็นครั้งที่ 2 จึงได้เพิ่มเติมและปรับปรุงเนื้อหาในบางส่วนที่จะทำให้การกล่าวถึงการสร้าง Validity ในการทำวิจัยเชิงคุณภาพให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้นโดยหลังจากได้ใช้หนังสือเล่มนี้ประกอบการสอนวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ของหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (รป.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้เขียนพบว่า สิ่งสำคัญ 2 ประเด็นที่ควรมีการอธิบายเพิ่มเติมคือ พาราไดม์ในการวิจัย ที่แตกต่างกันส่งผลต่อเป้าหมายในการทำวิจัยที่แตกต่างกันอย่างไรและการนำเอาปรัชญาภายใต้แต่ละพาราไดม์ไปสู่การลงมือทำการวิจัยต้องทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงได้นำเอาแนวคิดการสร้าง validity จากงานของ Viviene Waller , Karen Farquharson และ Deborah Dempsey (2016) มาสรุปเพิ่มเติมไว้ในบทที่ 3 เนื่องจากเป็นแนวคิดที่กล่าวถึงพาราไดม์ในการวิจัยเชิงคุณภาพทั้ง 3 พาราไดม์ ได้แก่ พาราไดม์ Post-positivist พาราไดม์ Criticalist และพาราไดม์ Constructionist ซึ่งจะ ส่งผลต่อเป้าหมายในการวิจัย มุมมองในการออกแบบงานวิจัย เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากเลนส์ของพาราไดม์ที่แตกต่างกัน เริ่มจากการที่การ วิจัยถูกควบคุมโดยนักวิจัยไปจนถึงการเสริมพลังผู้ให้ข้อมูล ไปจนถึงการให้ผู้ให้ข้อมูลเข้ามามีส่วนร่วมในการทำวิจัย ความแตกต่างเชิงปรัชญาเหล่านี้ทำให้มุมมองของนักวิจัยที่มีต่อความเป็นจริงทางสังคมชัดเจนและลึกยั้งมากขึ้น และสนับสนุนแนวคิดการสร้าง validity ที่มีอยู่แล้วตั้งแต่การ พิมพ์ครั้งที่ 1 ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
ผู้เขียนหวังใจให้หนังสือ Validity และ Reliability ในการวิจัยเชิงคุณภาพเล่มนี้ซึ่งเป็นการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 สามารถเพิ่มเติมองค์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานวิจัยให้กับผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้อ่านที่ทำงานวิจัยเชิง คุณภาพจะสามารถนำเอาหนังสือเล่มนี้ไปเป็นตัวช่วยให้งานวิจัยของท่านมี validity และ reliability เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการสะสมองค์ความรู้ (Knowledge Accumulation) ทางด้าน validity และ reliability เพิ่มให้กับวงวิชาการไทย อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งในเพิ่ม Validity และ reliabilty ให้กับการวิจัยเชิงคุณภาพของไทยอีกด้วย ความผิดพลาดใด ๆ ที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว และจะปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อๆ ไป