ราคารวม : ฿ 0.00
ซ่า……ซ่า……
เสียงของเม็ดฝนที่กระทบกับพื้นดินมีเพียงแค่ร่างของหญิงสาว และเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าป้ายหลุมศพเอาไว้นะว่า
‘แด่ เอลโรซ ราเกนน่า ขอให้หลับสงบ’
คนที่หลั่งน้ำตาให้กับความโศกเศร้าของการสูญเสียก็กลับมีเพียงแค่หญิงสาวเท่านั้น เด็กสาวผมสีฟ้าสว่างไว้ทรงสั้น ผิวขาวอมชมพู และดวงตาสีฟ้าอ่อนนั้นกลับทำหน้าที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ราวกับไม่อยากให้คนที่จากไปแล้วนั้นจะต้องมากังวลกับน้ำตาที่ไหลรินของเธอ มือสองข้างก็กำหมัดไว้แน่นอดทนไว้
“พ่อคะ………ฮึ่ก!…”
“บลู……ไปกันเถอะลูก…”
ผู้เป็นแม่ได้พาเด็กสาวออกจากตรงนั้นเธอเพื่อจะพาลูกของเธอกลับบ้านไป บลูที่กลับมาถึงบ้านก็ทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วหลับตาลงไปแน่นนึกถึงความทรงจำเก่าๆในหัวใจ ตั้งแต่สมัยก่อนพ่อเธอนั้นแทบจะไม่มีเวลาอยู่บ้านเสียเลย ถึงจะกลับมาก็อยู่ได้แค่วันสองวัน ถึงจะมีเวลาสั้นๆแต่ความมีค่า พ่อของเธอใช้ทุกเวลานั้นมอบความรักเสมอถึงจะทำงานหนักเพียงแค่ไหนก็ไม่เคยที่จะลืมลูกสาวของตัวเอง และมักสอนสิ่งต่างๆให้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กนิดเดียวอย่างทำไมแมวร้องเมี้ยว ไปจนถึงความรู้เรื่องของเวทมนต์ ในโลกใบนี่มีเวทมนต์ในธาตุอากาศมากมายขึ้นอยู่กับตัวคนเราเองว่าจะดึงมันมาใช้แบบไหนได้ ผู้คนที่ใช้เวทมนต์จะถูก ขนานนามว่า จอมเวท พ่อของเธอเป็นถึงอดีตหัวหน้ากองทัพอัศวินในนามของราชินีในโลก เรจีส โลกที่เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์เวทมนต์ เหรียญย่อมมีสองด้านในโลกใบนี่เองก็มีสิ่งที่เรียกว่า ภูติดำที่คอยบุกรุกมาที่เมืองหลวงเสมอ ทำให้ต้องมีการก่อตั้งหน่วยพิทักษ์กับสภาจอมเวทเพื่อรับเรื่องนี่ เอลโรลพ่อของเธอเองก็เป็นหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ที่ฝีมือฉกาจ ด้วยเวทมนต์ที่สร้างดาบแห่งที่ปราบภูติดำจำนวนมาก แต่เพราะโดนคำสาปบางอย่างที่ไม่สามารถแก้ได้ เอลโรลค่อยๆล้มป่วยขึ้นทุกวันๆ จนไม่สามรถลุกจากเตียงได้บลูที่สนิทกับพ่อเป็นทุนเดิมอยู่แลเวจึงคอมยดูแลอย่างใกล้ชิดจนทุกวันก่อนที่พ่อเธอจะจากไป
“บลู……ลูกคิดออกรึยังว่าอยากจะใช้เวทมนต์ทางไหน?”
เขาถามด้วยเสียงที่อ่อนแรงเล็กน้อย มองไปอย่างลูกสาวเขาที่นั่งอ่านหนังสือที่บันทึกคาถาเอาไว้มากมาย
“เอ๊ะ?…………เอ่อคือ……”
เธอสะดุ้งเล็กน้อยทันทีและเงยหน้าจากหนังสือพร้อมท่าทีที่เลิกลั่ก จนถึงตอนนี่เธอนั้นยังไม่ได้เลือกเลยว่าจะนำเวทมนต์ของเธอไปประกอบอาชีพอะไร เพราะเวทมนต์ของเธอเป็นเพียงแค่ยิงลำแสงเวทธรรมดาไม่ได้มีอะไรหวือหวาเป็นพิเศษ บลูจึงไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี
“ฮึๆๆๆ……ยังไม่รู้สินะ”
เอลโรลไม่ว่าอะไรเขาทำเพียงแค่ยิ้มบางและหัวเราะเล็กน้อย ราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าลูกสาวของตัวเองนั้นไม่สามารถให้คำตอบไว้ได้
“มะ……ไม่ใช่นะคะหนูเองก็จะเข้าเป็นอัศวินเหมือนกับพ่อไง!!!”
บลูรีบแย้งขึ้นไปในทันที แต่ยิ่งแสดงท่าทีการแย้งแบบนั้นก็ยิ่งทำให้เอลโรลยิ่งออกมาน้อยให้กับเด็กสาวที่อยากทำความตั้งใจของบางคนที่ขอมา
“แม่ขอลูกมาสินะ…”
“เรื่องนั้นมัน…”
บลูถึงกับคอตกก้มหน้าทำเสียงหงอยๆเล็กน้อยในทันที เพราะมันคือความจริงความคาดหวังของมิลาด้า แม่ของเธอที่อยากจะให้เธอนั้นสานต่อตำแหน่งพ่อของเธอ แต่ใจจริงนั้นเธอไม่อยากเลยตอนนี่ยังไม่รู้ด้วยซ่ำว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่นะ
“ไม่เป็นอะไรหรอกพ่อเองก็เข้าใจลูกนะ……”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลูบหัวคนตรงหน้าอย่างเบามือ ตัวเขานั้นรู้ดีว่ามิลาด้าภรรยาของตัวเองนั้นอยากให้ลูกของเธอได้ทำงานในที่ดีๆเพราะค่าเงินที่ได้ตอบแทนนั้นสูงมากๆ พร้อมกับชื่อเสียงมากมายเหมือนกับตัวของเขาเองที่ได้รับมา แต่ตัวบลูนั้นเธอไม่ได้มีความต้องการเลยแม้แต่นิดเดียว
“ขอโทษนะคะพ่อ…”
“น่าๆไม่ต้องขอโทษหรอก…ลูกเองไม่ต้องรีบร้อนที่จะหาจุดหมายด้วย…แค่ใช้ชีวิตตามที่ลูกอยากจะเป็นเถอะ”
นั้นคือคำพูดสุดท้ายที่พ่อของเธอได้ทิ้งไว้ให้ก่อนที่ตัวเขานั้นจะเสียชีวิตในวันต่อมา เขานั้นเปรียบเสมือนเข็มทิศที่คอยชี้นำที่สอนตัวเธอเสมอแต่เมื่อจากไปชีวิตเธอเองก็เคว้งไม่ใช่น้อย จนถึงตอนนี่ก็ผ่านไปถึง 3ปี เธอก็อายุได้ 15 ปีแล้ว ร่างกายของเธอเองก็โตสูงขึ้น มีควาอ้อนแอ้นแบบเด็กสาวทั่วๆไป จุดน่ารักเล็กๆก็คงเป็นความสูงเธอที่พอเหมาะกับวัย พร้อมกับทรงผมสั้นประบ่าที่ได้มีการมัดเปียเล็กๆที่ยาวลงมา
“ฮึ้บ!!!!”
ปิ้ว! ปิ้ว! ปิ้ว! ปิ้ว!
เก๊ง! เก๊ง! เก๊ง! เก๊ง!
ที่ลานฝึกเก่าหลังบ้านของเธอตอนนี่เธอก็ใช้เวทยิงลำแสงยิงออกไปจากปลายนิ้วชี้เธอที่ทำมือเหมือนปืน ให้ยิงโดนเป้าแต่เธอเองก็พยายามควบคุมให้ทำการโจมตีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เจ้ากระป๋องที่เป็นเป้านั้นลอยสูงขึ้นแต่ในขณะเดียวกันต้องพยุงมันไม่ให้ร่วงด้วย
ปัง!! ปัง!
ก๊อง~~
“เฮ้อ……ก็ยังได้ไม่ถึงสิบครั้งแฮะ……”
เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปหยิบกระป๋องและท้าวเอวด้วยมือข้างที่ว่างในขณะที่อีกมือก็โยนกระป๋องเล่นและบ่นตัวเองเบาๆ
“บลู!ข้าวเที่ยงเสร็จแล้วน่า”
“ค่าาา”
เมื่อมิลาด้าแม่ของเธอตะโกนเรียกบลูก็ตอบรับก่อนจะรีบเข้าบ้านไปในทันที เธอล้างมือจนสะอาดก่อนจะรีบนั่งลงบนเก้าอี้ทางอาหารในทันที
“ล้างมือรึยังจ้ะ?”
“ล้างแล้วค่ะ!”
“ดีมากจ้ะ!”
มิลาด้าถามพร้อมกับวางเนื้อย่างลงบนโต๊ะที่สีงกลิ่นหอมของเครื่องเทศมากมาย กับกราแตงที่มีกลิ่นชีสละลายโชยขึ้นมา บลูกลิ่นนั้นเข้าก่อนจะทำหน้าเคลิ้มและท้องเธอเองก็เริ่มส่งเสียงร้องขึ้นมาในทันที
“น่ากินจังเลย~”
“แน่นอนฝีมือแม่ซะอย่าง!ยังไงก็เถอะรีบๆกินเข้าเดี๊ยวจะเย็นซะละ”
มิลาด้ายืดอกอย่างภาคภูมิก่อนจะรีบนั่งลง และลงมือจัดการทานอาหารตรงหน้าในทันที
“งั้มๆอื้ม~อร่อย~”
“ว่าแต่ลูกเตรียมตัวจะเข้าเป็นหน่วยอัศวินรึยัง?”
“แค่กๆๆๆ”
เมื่อได้ยินคำถามแบบนั้นบลูก็แทบจะสำลักเนื้ออย่างในปากจนเกือบตายในทันที และเป็นคำถามที่เธอไม่อยากได้ยินเป็นที่สุดด้วย
“เอ่อ…ก็…เริ่ม…แล้วอะค่ะ”
เธอตอบไปอย่างอำอึงและยิ้มแห้งๆให้กับผู้เป็นแม่
“ดีแล้วล่ะ! ตอนนี่แม่เองลองส่งจดหมายไปที่โรงเรียนพาลาดินแล้วละนะ!”
“ค—ค่ะ”
เธอแทบจะไปไม่ถูกเมื่อแม่ของเธอนั้นจัดสรรหาอะไรต่างๆ ให้กับตัวของเธอทั้งๆที่ลึกๆแล้วเธอไม่ได้ต้องการเลยแม้แต่นิดเดียวหลังจากทานอาหารอะไรเสร็จบลูก็ช่วยเก็บจานล้างจานให้เรียบร้อย และไปฝึกต่ออีกสักหน่อย จนกระทั้งพลบค่ำ
“เฮ้อ………”
บลูเปิดตูเข้าห้องของตัวเองมาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะปีนบันไดเพื่อขึ้นไปนอนเตียงชั้นบนของเธอและทิ้งตัวลงนอนคิดทันทีว่าสิ่งนี่น่ะรึที่เธออยากทำจริงๆ
“พ่อคะ……หนูจะทำไงดี……หนูไม่อยากไปที่นั่นเลย……”
เธอเอยออกมาด้วยเสียงที่ทั้งเศร้าและเหนื่อยใจ ถึงอยากจะปฏิเสธแต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่อยากทำให้แม่ของเธอเสียใจ ตอนนี่เธอรู้สึกสับสนจนกลิ้งซ้ายขวาไปมาบนเตียงและครุ่นคิดทั้งคืน ว่าจะทำไงดีต่อไปจวนถึงตอนนี่เธอก็ยังนึกไปออกเสียเลยจนกระทั้งถึงรุ่งเช้า
จิ๊บๆๆๆ~
‘อืมมมม…มัวแต่กังวลไม่ได้นอนเลย……’
บลูคิดในใจที่สภาพสีหน้าที่เหนื่อยจากความกังวลจนนอนไม่หลับ แสดงออกมาได้ชัดง่ายมากจากขอบตาของเธอที่คล่ำออกมา เด็กสาวค่อยๆปีนลงจากเตียงด้วยสภาพไม่ต่างกับซอมบี้ ก่อนจะเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัว
ซ่า!!!
“บรื้ออ~~”
บลูล้างหน้าสักเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหน้าไล่น้ำเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้านั้นมาเช็ดรวมทั้งแปรงฟันด้วย โชคดีการล้างหน้าทำให้เธอสดชื่นขึ้นมาได้
ตึก…ตึก……
“บลูๆๆๆ!!!!!”
“แม่?”
ระหว่างที่เธอนั้นกำลังเดินลงบันไดไปเพื่อที่จะลงไปทานข้าวเช้า ยังไม่ทันจะก้าวขาลงจากบันไดขั้นสุดท้ายแม่ของเธอก็รีบวิ่งมาตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มๆและดีใจ
“มาดูนี่ๆๆๆ”
“เอะ……เอ๊ะ!”
มิลาด้าไม่ได้อธิบายอะไรมากก็จูงมือของบลูมาที่โต๊ะทันที บนโต๊ะนั้นมีจดหมายมากมายกองบนโต๊ะ มันคือจดหมายจากโรงเรียนจากที่ต่างๆส่งมามากมาย ได้ประมาณ 5-6 ที่ด้วยกัน
“นี่ไงๆๆๆๆลูกจดหมายจากโรงเรียนพาลาดิน!!!”
เธอพูดพร้อมกับยื่นจดหมายที่ซองนั้นเป็นสีแดงให้ ที่มีตราของโรงเรียนพาลาดินประทับอยู่ บลูนั้นรับซองมาด้วยความไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“……”
“อืม……แต่ก็มีอีกหลายโรงเรียนเลยน่าที่เชิญลูกนะเนี่ย…”
มิลาด้ามองไปอย่างเหล่ากองจดหมายด้วยความดีใจที่ลูกของตัวเองนั้นได้รับเชิญจากโรงเรียนมากมาย
‘อะ……จดหมายนั้น…’
สายตาของบลูนั้นไปสะดุดกับจดหมายซองสีขาวธรรมดาแต่กลับมีหลายมือ ที่เขียนไว้หน้าซองว่า
‘จดหมายพิเศษถึง คุณ บลูชายส์ ราเกนน่า’
ด้วยความสงสัยเธอก็เอื้อมขึ้นมาแกะซองและอ่านเนื้อหาในนั้นทันที อย่างไม่รีรอ
‘ถึง บลูชายส์
สวัสดีบลู ฉันเอง ลุงเฟอกัสยังจำฉันได้ใช่มั้ย ความจริงแล้วฉันไม่ได้เป็นผ.อ.โรงเรียนหรอกนะครูอย่างฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเขียนจดหมายเชิญเธอด้วยซ่ำ แต่เพราะว่าพ่อของเธอที่มีชื่อเสียงมาก การเสียชีวิตของเขานั้นทำพวกเราสะเทือนใจมาก ฉันเสียใจด้วยนะแต่เหตุผลที่ฉันอุสาต์ขอเรื่องที่เชิญเธอมานั้น ก็เพราะคำสั่งเสียสุดท้ายที่เขาขอให้ฉันทำขอให้ฉันเป็นคนเขียนจดหมายเชิญเธอเข้ามาเรียนที่ โบโอธีส ไรเจล อคาเดมี่ เพื่อจะเป็นที่ให้เธอนั้นค้นหาจุดหมายของตัวเอง ถ้าเป็นไปได้ฉันเองก็อยากให้เธอมานะที่นี่มีอาหารอร่อยๆและขนมที่เธอชอบแน่นอน เธอจะได้เจอสิ่งใหม่หลายๆอย่างที่เธออาจจะต้องค้นพบตัวเองแน่นอน แล้วฉันจะรอเธอนะหลานของฉัน
ด้วยความห่วงใย
อาจารย์และคุณลุง เฟอกัส’
‘คุณลุง……’
เมื่ออ่านจดหมายจบบลูก็รู้สึกอะไรบางอย่างในใจ ใช่บางอย่างที่เธอต้องการที่จะทำ
“แม่คะ……หนูจะไปเรียนที่ โบโอธีสค่ะ……”
บลูหันไปพูดกับแม่ของตัวเองด้วยสีหน้าจริงจังในทันที ทำเอาแม่เธอที่กำลังตื่นเต้นนั้นถึงกับหันมาด้วยสีหน้าแปลกใจในทันที
“ตะ…แต่ลูกโรงเรียนพาลาดินมันสอบเข้าเป็นอัศวินโดยตรงเลยนะ……”
มิลาด้าตกใจจนพูดไม่ถูกและไม่ออกสุดๆราวกับความคาดหวังเธอนั้นกำลังพังทลาย
“หนู……ไม่ได้อยากเป็นอัศวินค่ะแม่หนูขอโทษ……จนถึงตอนนี่ไม่รู้ด้วยซ่ำว่าหนุจะเป็นอะไร! และหนูคิดว่าโรงเรียนนี่ต้องช่วยหนูได้แน่นอน!”
บลูพูดออกไปอย่างหนักแน่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆความรู้สึกที่อยากจะเริ่มค้นหาของตัวเองความสับสนที่เคยเผชิญมาอย่างเมื่อคืนก็หายไปปลิดทิ้ง
“…หนูขอโทษนะคะ—-!”
เธอก้มหน้าเว้นคำพูดไปเล็กน้อยเพราะคิดในใจอยู่แล้วว่าแม่เธอต้องด่าทอต่างๆนาๆแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจนั้นก็คือแม่ของเธอนั้นเข้ามาโพกอดตัวเธอทันที
“มะ-แม่คะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแค่……แม่เองก็รู้สึกดีใจนะที่ลูกก็ตัดสินใจตามที่ตัวเองต้องการ……และก็……แม่ขอโทษนะที่…คาดหวังในตัวลูก…”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือออกมาพร้อมกับกอดบลูแน่นๆ เธอเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าการที่เธอนั้นคาดหวัง จัดเตรียมทุกๆอย่างที่ในความคิดของตัวเองทุกอย่างและลูกเธอก็ยอมทำตามมัน ทั้งรู้สึกผิดและเสียใจเมื่อเธอฉุดคิดได้
“คุณแม่……”
บลูนั้นที่ได้ฟังก็กอดกลับไปอย่างแนบแน่น เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าแม่ของเธอไม่เคยมีเจตนาร้ายเลยเพียงแค่อยากให้ตัวเธอได้สิ่งที่ดีที่สุด เธอเองก็ดีใจด้วยที่แม่เธอก็เข้าใจในความตั้งใจของเธอเอง
“เอาล่ะ! ไม่มีเวลามาดราม่าแล้ว!รีบไปเตรียมของกัน!”
เธอพูดพร้อมปาดน้ำตาของตัวเองออกก่อนจะรีบพาลูกสาวตัวเองไปเตรียมของอะไรให้เรียบร้อย ทั้งเสื้อผ้าและอุปกรณ์อื่นๆรวมถึงหนังสือเวทมนต์
กึก……
บลูปิดกระเป๋าของเธอลงและล็อกมันให้เรียบร้อย ก่อนเธอจะนำจดหมายใส่กนะเป๋าสะพายข้างของเธอเพื่อที่จะได้ใช่ยืนยันตัวเองตอนที่เธอจะเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี่และมุ่งหน้าไปที่สถานนีรถไฟ
ปู๊น!!!!! ปู๊น!!!
สถานนีที่ตอนนี่มีคนมากมายหลายเผ่าพันธ์นั้นพลุกพล่านเดินไปมามากมาย เพื่อที่จะเดินทางไปตามเส้นทางของตัวเอง บลูนั้นเดินตรงไปที่คนขายตั๋วในทันที
“ไปเมโทรซิสใบหนึ่งค่ะ”
เธอพูดพร้อมชูหนึ่งนิ้วให้กับพนักงานขายตัวชาวเองฟ์ตรงหน้า
“10 ซิลเวอร์ครับ…”
พูดจบบลูก็รีบจ่ายเงินและรับตั๋วสีทองมาทันทีก่อนจะไปนั้งรอที่ม้านั่งกับแม่ของเธอ
“ตื่นเต้นมั้ย?”
“……สุดๆเลยค่ะ…”
เธอนั่งคุยกับแม่ของเธอคำสองคำก่อนจะเข้าสู้ความเงียบ ไม่ใช่เพราะความอึดอัด แต่เพราะไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมากมายต่างฝ่ายต่างรู้ดีความรู้สึกกัน
ปู๊น!!!
“ขบวนนี่ไปเมโทซิสนะครับ~เมโทซิส~”
พนักงานรถไฟที่อยู่ในขบวนตะโกนออกมาทันทีเมื่อ รถไฟจอดสติทพร้อมกันนั้นผู้คนเองก็เริ่มเดินขึ้นไปที่ขบวนกันอย่างมากมาย บลูเองก็ยกกระเป๋าขึ้นเพื่อเตรียมตัวเดินทางเหมือนกันคนอื่นๆ
“ไปแล้วนะคะแม่…”
“โชคดีจ้ะ…”
มิลาด้าพูดจบก็จุมพิพลงบนหน้าผากของลูกสาวตัวเองเบาๆเพื่อที่จะเปฟ้นการอวยพรให้กับการเดินทางครั้งนี่ของบลู เธอโบกมือเบาๆเพื่อที่จะบอกลาแม่และก้าวขึ้นรถไฟ
“อะขอโทษค่ะ!”
เด็กสาวพยายามเบียดผู้คนในรถไฟเพื่อที่จะไปหาที่นั่งว่างๆ ของเธอและเจอจนได้
“อึ้บ!! ฮึ้ย~”
บลูพยายามยกกระเป๋าของตัวเองเพื่อจะนำไปวางไว้ แต่ก็ยากไม่ใช่น้อยเพราะที่วางนั้นดันสูงกว่าเธอ เธอค่อยๆพยายามดันไปแต่ก็ดูท่าทางจะไม่ได้ผลเท่าไร
“มาฉันช่วย…”
เสียงทุ้มๆนุ่มนวลเอยขึ้นพร้อมกับมือใหญ่จากข้างหลังเธอ มือนั้นเองก็ช่วยดันกระเป๋าใบใหญ่ของบลูเข้าไป
“ขอบคุณค่ะ!”
เธอหันไปขอบคุณคนที่มาช่วยในทีนที
“ไม่เป็นอะไรหรอก”
คนที่ช่วยเหลือเธอนั้น เป็นชายหนุ่มที่สูงกว่าเธอได้ประมาณหนึ่ง มีร่างที่มีกล้ามเหนือไม่กำยำมากผิวสีน้ำผึ้ง พร้อมกับผมซอยสั้นที่ฟูๆหน่อยสีขาวออกทางเงิน แต่ที่แตกจากบลูคือมีหูและหางออกมา เป็นหูทรงไม่แหลมมากกับหางยาวๆสีขาวลายราวกับเสือ ดูทรงแล้วอายุนั้นน่าจะไม่ห่างกับเธอเท่าไร เขายิ้มบางๆให้เด็กสาว
“………”
บลูที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นก็มองไม่วางตาพร้อมกับแก้มที่แกงนิดๆ เธอนั้นมองตาปริบๆและใจเธอนั้นเองก็รู้สึกอะไรมีประกายเล็กๆในใจของเธอ
“เอ่อ……มีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีๆๆๆๆๆ! ไม่มีอะไรเลยค่ะ!!!!”
บลูรีบตอบออกไปพร้อมโบกมือส่ายหัวไปมา เพื่อที่จะกลบเกลื้อนหน้าแดงๆของเธอ
“ฮะๆๆ งั้นฉันขอนั่งด้วยนะ”
เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปตรงที่เบาะว่างๆ
“ได้เลยค่ะ!!!”
หลังจากบลูตอบตกลง ทั้งคู่ก็นั่งลงในทันทีบลูก็เข้าไปนั่งข้างในชิดกับหน้าต่างโดยมีเขานั่งข้างๆ
“……ว่าแต่เธอไปที่เมโทซิสนี่…ไปทำอะไรเหรอ?”
ชายหนุ่มที่นั่งข้างก็อาจจะเริ่มรู้สึกเบื่อเลยเริ่มชวนบลูที่นั่งอยู่ข้างๆ คุยเ้วยเสียสักหน่อยเอาจริงๆเขาเองก็แอบสงสัยนะว่าเด็กสาวอายุแค่15 ปี มาทำอะไรในเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
“เอ่อ……พอดีมาเข้าทดสอบน่ะค่ะ……ทางลุง—เอ้ย!! อาจารยเขาส่งจดหมายมาจาก โบโอธีส—“
“เห!!!! เธอจะมาเรียนที่โบโอธีสงั้นเหรอ!!”
บลูสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนข้างๆยื่นหน้ามาใกล้นิดๆจนเธอต้องถอยนิดๆ หน้าของเธอก็เริ่มแดงหน่อยๆ ทำเอาเด็กสาวทำตัวไม่ถูกเลย
“ชะ…ใช่ค่ะ!”
“สงสัยพวกเราคงได้เจอกันบ่อยๆแน่นอนเพราะฉันเองก็เรียนอยู่ที่นั้นละนะ”
เขาพูดจบก็ขยิบตาข้างหนึ่งให้ ทำเอาใจน้อยๆของเด็กสาวแอบเต้นไม่เป็นท่าเลย
“คุณ……เอ่อ……”
“อะ ลืมบอกชื่อไปซะสนิทเลย ฉันโรม่า โรม่า ก๊อซวานนักเรียนโบไอธีส ปี 2”
โรม่าแนะนำตัวให้กับบลูให้ฟัง
“บลูชายส์ ราเกนน่าค่ะ เรียกบลูเฉยๆก็ได้ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
บลูเองก็แนะนำตัวเองกลับออกไปพร้อมกับยิ้มเล็กๆให้
“ราเกนน่า…อะอย่าบอกนะว่าเธอเป็นลูกสาวของ เอลโรล ราเกนน่า!”
เมื่อโรม่าได้ยินนามสกุลจากอีกฝ่ายก็ทำเอาเขาตกใจไม่ใช่น้อยเลย เกี่ยวเรื่องของผู้พิทักษ์ที่กล้าหาญ ยิ่งได้เจอกับลูกสาวแล้วก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก จนตาเป็นประกายเห็นได้ชัด
“ค่า……แต่ก็…อืม…เบาๆหน่อยนะคะเรื่องนี่…”
บลูยิ้มแห้งๆออกมาและมองไปรอบๆขบวนที่มีผู้คนนั้นเริ่มสนใจ มากขึ้นเพราะเสียงของโรม่านั้นค่อนข้างจะดังไม่ใช่น้อย บลูเองก็ทำตัวหัวหดและเอามือปิดหน้า บอกเลยว่าเธอนั้นรู้สึกเขินและอับอายไม่ใช่น้อย
“ขะ……ขอโทษคือฉันตื่นเต้นมากไปหน่อย…”
โรม่าพูดพร้อมโค้งขอโทษเล็กน้อยหูเสือที่ลู่ลงด้วยความรู้สึกผิด เพราะเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ จะให้เด็กสาวที่จะรู้สึกแย่ขนาดนี่
“……ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ……รุ่นพี่โรม่าเองก็ชื่นชมพอหนูอยู่ใช่มั้ยคะ……แค่นั้นก็ดีพอแล้วล่ะค่ะ…”
บลูค่อยๆเอามืออกจากหน้าและยิ้มให้กับโรม่า ถึงเขาจะเสียงดังไปแต่จากที่เธอเห็นท่าทางตื่นเต้นก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมาย
“………เป็นเด็กดีจังน่าเธอเนี่ย!”
“นั้นคำชมเหรอคะนั้น…”
จ๊อก~
“อะ!”
ทั้งคู่ถึงกับอุทานออกมาเพราะเสียงท้องร้องดังลั่นทำให้รู้เลยว่าตอนนี่ได้เวลาอาหารวันกันแล้ว บลูก็ได้หยิบข้าวกล่องขึ้นมาที่ทำด้วยฝีมือแม่ของเธอและเมื่อเปิดออก มันก็คือแซนวิชแฮมชีสสองชิ้นที่ทำออกมาอยางดีราวกับว่ามันเปล่งประกายออกมาไม่หยุด
“น่ากินจังเลย! เธอทำมาเองเหรอ!”
เมื่อโรม่าเห็นแซนวิชในกล่องนั้นก็รู้สึกหิวหนักกว่าเดิมในทันที
“เปล่าค่ะคุณแม่ทำมาให้น่ะ…นี่ค่ะ…”
บลูที่เห็นแบบนั้นก็ตอบกลับไปพร้อมกับหยิบแซนวิชอีกชิ้นหนึ่งยื่นให้ เจ้าเสือที่อยู่ตรงหน้า
“จะ……จะดีเหรอ?”
โรม่าถามด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะถือเป็นการตอบแทนที่ช่วยหนูเก็บกระเป๋าละกัน…”
“งั้นไม่เกรงใจละนะ…”
พอได้ยินแบบนั้นหูของโรม่าก็ตั้งและกระดิกทันที โรม่าพูดจบก็รุบมาทานในทันที
“อื้ม~อร่อย~”
เมื่อโรม่าได้ลองทานแล้วเขาก็อุทานออกมาด้วยความอร่อยและตาที่เป็นประกาย แต่ที่เห็นได้ชัดเลยคือหูเสือที่กระดิกเบาๆ พร้อมกับหางส่ายไปมา
‘มะ……แมวมากกว่าเสือแฮะ……’
บลูคิดในใจและพยายามกลั้นขำกับความน่ารักที่ช่างสวนทางกับชายร่างใหญ่ขนาดนี่ ก่อนจะฉายตามองไปข้างนอกหน้าต่างที่มีวิวทิวทัศน์ผ่าน เมืองต่างๆ
‘เราจะได้พบกันแล้วนะ…’
‘โบโอธีส ไรเจล อคาเดมี่’
แชร์ :
เขียนความคิดเห็น