ตอนที่ 1 : งานวิวาห์แสนป่วน

บทที่ 1 

งานวิวาห์แสนป่วน

งานวิวาห์เล็ก ๆ ที่ถูกจัดขึ้นเป็นการภายใน โดยใช้พื้นที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลอรรถจิรานนท์เป็นสถานที่จัดพิธียกน้ำชา ก่อนจะมีพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรสอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ 

ถัดไปจากคฤหาสน์หรูจะมีประตูรั้วเล็ก ๆ ใช้เชื่อมไปยังบ้านเดี่ยวสีขาวทรงโมเดิร์นที่รายล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับเขียวชอุ่มทั่วบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากผู้เป็นย่าของเจ้าสาว

‘ธารใส’ สาวสวยวัย 25 ปีเต็ม วันนี้เธอสวมชุดเจ้าสาวสีขาว candlelight เล่นลายด้วยการแต่งมุกช่วงอกยาวลงมาถึงช่วงเอว ช่วยขับผิวขาวใสให้สว่างนวลเนียนยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว บริเวณไหล่ประดับด้วยผ้าชีฟองผืนบางไล่ระดับ ยิ่งส่งให้เธอดูน่ารักน่าทะนุถนอมดุจเจ้าหญิง 

ชุดเจ้าสาวแสนสวยวันนี้เธอและเพื่อนสนิทอย่าง ‘ปุศยา’ ช่วยกันออกแบบและตัดเย็บด้วยตัวเอง โดยทั้งคู่หุ้นกันทำร้านเสื้อผ้าแฟชั่นขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ปัจจุบันกิจการร้านเสื้อผ้าของพวกเธอเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากการทุ่มเทแรงกายแรงใจตลอดสามปีที่ผ่านมามีหน้าร้านรองรับลูกค้าหลายสาขากระจายทั่วห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพ โดยสาขาแรกได้เปิดอย่างเป็นทางการในห้างสรรพสินค้าของตระกูลอรรถจิรานนท์ ด้วยเส้นสายบิ๊กเบิ้มจากประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ ‘คุณหญิงมณีหรือคุณย่าแป๋ว’ ที่ใจดีคิดค่าเช่าแสนถูกให้กับหลานสาวคนโปรดในการเริ่มต้นธุรกิจ

“ยิ้มหน่อยสิแก วันนี้วันแต่งงานแกนะ” ปุศยาร้องทักเธอที่นั่งเหม่ออยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คบหากันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจนถึงปัจจุบัน วันนี้ปุศยาอาสามาช่วยแต่งหน้าให้เธอตั้งแต่ตีสี่ และยังคอยถามย้ำอยู่เสมอว่าอยากยกเลิกงานแต่งไหม

การแต่งงานที่ว่านี้ผ่านการตกลงจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเจ้าบ่าวไม่ใช่ใครอื่นไกลคือ ‘ภคภพ’ หรือพี่ภพหลานชาย ‘คุณย่าแป๋ว’ เพื่อนสนิทของคุณย่าเธอที่รู้จักกันมาตั้งแต่เธอเด็ก ๆ บ้านเธอกับบ้านเขาอยู่ติดกันจนเรียกได้ว่าแทบจะรั้วเดียวกันเสียมากกว่า บ้านหลังนี้คุณย่าแป๋วยกให้คุณย่าของเธอ หลังจากที่พ่อกับแม่เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งคู่เมื่อสิบกว่าปีก่อน

เดิมทีครอบครัวเธออาศัยอยู่เชียงใหม่เพราะบิดามารดารับราชการอยู่ที่นั่น ผู้เป็นย่าได้ขายบ้านที่กรุงเทพและไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกหลานที่เชียงใหม่ด้วยกัน โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งต้องมาสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปอย่างกะทันหัน เมื่อคุณย่าพี่ภพทราบเรื่องจึงรบเร้าให้พวกเธอสองย่าหลานย้ายกลับกรุงเทพมาอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะได้คอยดูแลกันได้สะดวก เนื่องจากพวกเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว 

เธอได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกคนในบ้านหลังนี้ คุณพ่อคุณแม่พี่ภพเป็นผู้ใหญ่ใจดี รักและเอ็นดูเธอเสมือนเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน เพราะพวกท่านมีแต่ลูกชายคือพี่ภพและ ‘พี่ภัทร[1]’ น้องชายที่นิสัยแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว พี่ภพสุภาพและใจเย็น ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง นิสัยส่วนตัวโดยรวมจะคล้ายๆ กับเธอ ค่อนข้างพูดน้อยและเชื่อฟังผู้ใหญ่ นี่คงเป็นอีกสาเหตหนึ่งที่คุณย่าจับคู่ให้เธอกับพี่ภพ ส่วนพี่ภัทรนั้นใจร้อน ขี้โวยวาย และขี้หวงเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งเธอเคยทำกาแฟหกใส่หมวกของเขา เขาโวยลั่นจนเธอร้องไห้ข้ามวันกันเลยทีเดียว

ด้วยเหตุเพราะพวกเธอเหลือกันแค่สองคนย่าหลาน คุณย่าแป๋วจึงเกรงว่าหากวันหน้าคุณย่าเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องห่วงว่าหลานสาวเพียงคนเดียวจะไม่มีคนดูแล ตัวเธอเองที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีแฟนและใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาโดยตลอดจึงไม่ได้คัดค้านพวกท่าน การที่สามีในอนาคตของเธอจะเป็นพี่ภพก็นับว่าโชคดีไม่น้อย เพราะเธอรักและเคารพเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คิดว่าในวันข้างหน้าหากแต่งงานกันไป อะไรๆ อาจจะง่ายสำหรับเธอก็เป็นได้ แต่พอถึงวันนี้จริง ๆ เธอกลับสับสนและรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะทำของสำคัญบางอย่างหล่นหายไป เรื่องวุ่นวายใจนี้เธอปรึกษาปุศยาเพื่อนสนิทให้รับรู้มาโดยตลอด

“ฉันคิดว่า ต่อให้แต่งงานกันแล้ว ฉันกับพี่ภพก็จะอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละ คงไม่ย้ายไปบ้านใหญ่เพราะไม่อยากให้คุณย่าอยู่คนเดียว” 

“แล้วนี่แกมีคุยกับพี่ภพบ้างหรือเปล่าเรื่องนี้”

“พี่ภพไม่ว่าอะไร เขาตามใจฉันทุกอย่าง แล้วแต่ฉันตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ไหน”

“แกกำลังจะแต่งงานกันนะเว้ย ทำไมยิ่งฟังมันยิ่งดูห่างเหินวะแก ฉันไม่เห็นเคมีระหว่างแกกับพี่เขาเลยจริง ๆ นะ”

“ฉันไม่คิดอะไรลึกซึ้งแบบนั้นแล้วละปุศ คุณย่าแป๋วและครอบครัวท่านมีบุญคุณท่วมหัวฉันกับคุณย่า ชนิดที่ว่าชาตินี้ใช้ยังไงก็ไม่หมด ในเมื่อหลานชายคุณย่ายังไม่ขัดขืนอะไรกับงานแต่งนี้ แกจะให้ฉันออกหน้าได้ยังไงล่ะ”

“นี่แหละ ที่ฉันรู้สึกว้าวมาก พี่ภพเขาเป็นคนดีก็จริงนะเว้ย แต่ผู้ชายอายุ 35 ปี จะไม่มีแฟนเลยเนี่ยนะ และยอมถูกคลุมถุงชนง่ายๆ แกไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”

“คิดแล้วได้อะไรแก ฉันก็ 25 ปี และไม่เคยมีแฟน”

“ฉันว่าเขาเป็นเกย์! การแต่งงานคือข้ออ้างบังหน้าแน่ ๆ” ปุศยาคอยย้ำเรื่องนี้กับเธอมาตลอดสองเดือนเต็ม ทันทีที่หล่อนรู้กำหนดการแต่งงานของเธอและภคภพ

“ไม่หรอกแก... แต่ถึงเขาจะเป็นอะไร ฉันก็จะไม่ล้ำเส้นเรื่องส่วนตัวของเขาเด็ดขาด ฉันรับปากกับพี่ภพแล้ว ถึงแม้เราจะเป็นสามีภรรยากัน แต่พี่ภพสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ไม่ต้องมาฝืนอะไรเพื่อฉันทั้งนั้น”

“แต่แกจะยอมเสียความสาวความสวยทั้งชีวิตไปกับเรื่องนี้ไม่ได้นะเว้ยธาร!”

เสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกหยุดบทสนทนาของทั้งคู่ลงอย่างฉับพลัน ปุศยาเปิดประตูไปดูพบว่าบ้านใหญ่ของว่าที่เจ้าบ่าวเริ่มมีแขกผู้ใหญ่มากันแล้วบางส่วน แต่เสียงเอะอะที่เธอได้ยินไม่ได้ดังมาจากบ้านใหญ่ เสียงนั้นมาจากชั้นล่างที่ห้องรับแขกของบ้านเพื่อนเธอ

“ผมไม่แต่งนะครับคุณย่า นี่มันไม่ใช่เรื่องของผมเลยสักนิด” เสียงผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย

“แกจะบ้าหรือไง แล้วปล่อยให้น้องเป็นหม้ายขันหมากเหรอ พวกแกสองพี่น้องตั้งใจจะฉีกหน้าฉัน ฉีกอกฉันให้ตายดับไปเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม”

“ใจเย็นก่อนนะแป๋ว เธอรอคนแจ้งข่าวตาภพอีกทีได้ไหม ไม่แน่นะตอนนี้หลานอาจจะกำลังเดินทางมานี่แล้วก็ได้” เสียงนี้ของ ‘คุณย่าละไม’ คุณย่าของธารใสเพื่อนเธอไม่ผิดแน่ และตาภพที่ว่าก็น่าจะพี่ภพเจ้าบ่าว ‘เฮ้ย! เจ้าบ่าวหายเหรอ?’ เธอรีบเดินกลับเข้ามาในห้องและตรงไปดึงแขนเพื่อนออกไปฟังด้วยกัน จังหวะนั้นเสียงข้างล่างเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนพวกเธอสามารถได้ยินการโต้เถียงกันได้อย่างชัดเจนไม่ต้องเงี่ยหูฟัง

“ภัทรไม่แต่งนะแม่ ภัทรกับยัยธารเราไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย อยู่ ๆ ภัทรต้องมารับผิดชอบงานทั้งหมด ทุเรศสิ้นดี”

“เจ้าภัทร! นี่แก” เสียงตะคอกจากคุณลุงปุ๊หรือ ‘ปกรณ์’ พ่อเจ้าบ่าวดังขึ้น แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรออกมาก็มีเสียง...

เพี้ยะ! “หลานเนรคุณ! นี่เหรอคือสิ่งที่แกควรสบถออกมาต่อหน้าย่าละไมในบ้านของท่าน แกไม่เคารพฉัน ฉันไม่ว่า แต่ย่าละไมและธารใสเป็นคนในครอบครัวฉันเหมือนกัน แกไม่ควรมาดูถูกพวกเขาต่อหน้าฉัน ทุเรศสิ้นดีงั้นเหรอ คำนี้มันควรพูดออกมาไหม…” เสียงคุณหญิงมณีเงียบลงทันทีที่เห็นว่าใครกำลังก้าวเข้ามา...หนูธาร!!

ธารใสเดินลงบันไดมาเงียบ ๆ โดยมีปุศยาประคองอยู่ข้าง ๆ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณย่าแป๋ว?” เสียงหวานสั่นเทาเพราะเริ่มจะเดาเหตุการณ์ตึงเครียดนี้ออกตั้งแต่ยืนฟังอยู่ข้างบน

“โธ่ หนูธาร” คุณป้า ‘ภัทรา’แม่ของภคภพและภัทร[2] เดินเข้ามาสวมกอดเธอพร้อมหยาดน้ำตาอาบสองข้างแก้ม

เธอมองเห็นแววตาเศร้าสร้อยจากคุณย่าเธอ เห็นใบหน้าเกรี้ยวกราดของคุณย่าแป๋วลุงปุ๊ และอีกใบหน้าที่โกรธไม่แพ้กันเผลอ ๆ จะถมึงทึงมากกว่าคุณย่ากับคุณลุงรวมกันเสียอีก พี่ภัทร! วันนี้เขาสวมสูทลำลองสีกรมท่า ไหล่กว้างยืดตรงดั่งคนไม่เกรงกลัวผู้ใด จ้องมาทางเธอด้วยใบหน้าติดจะบึ้งตึง

“ไปเปลี่ยนเป็นสูทขาวเดี๋ยวนี้ แล้วก็หุบปากสุนัขของแกจนตลอดงานซะ” เสียงผู้เป็นย่าออกคำสั่งกับหลานชายตัวแสบเพื่อแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้านี้ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้จะไม่ค่อยมั่นใจนักว่าหลานชายที่เอาแต่ใจคนนี้จะยอมให้ความร่วมมือหรือไม่

“แค่วันนี้นะครับ แค่รับหน้า...ที่หน้างานนะ ไม่มีต่อจากนี้ ไม่มีพิธีฉลองมงคลสมรสอะไรทั้งนั้นนะครับ ผมทำให้ได้เท่านี้” เขาปรายตามองเธอเล็กน้อยก่อนจะผละไปเปลี่ยนชุดเจ้าบ่าว

พิธีการต่าง ๆ จบลงด้วยความรวดเร็วแม้แขกในงานจะงงๆ อยู่บ้างว่าทำไมภาพพรีเวดดิ้งหน้างานถูกถอดออกทั้งหมด แต่เพราะงานนี้เป็นงานภายใน แขกในงานมีแต่ที่สนิทๆ กันไม่กี่คน จึงสามารถควบคุมให้งานผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย เมื่อแขกทั้งหมดทยอยกลับกันไปแล้ว รวมทั้งปุศยาที่ออกไปเป็นคนสุดท้าย ตอนนี้จึงเหลือแค่เพียงสมาชิกในครอบครัวที่กำลังนั่งหน้าเครียดกันที่ห้องโถงของบ้านอรรถจิรานนท์

“ขอบคุณนะลูกที่ช่วยน้องไว้ในครั้งนี้ ขอบคุณมากจริง ๆ” คุณย่าละไมเอ่ยอย่างซาบซึ้งพร้อมกับกุมมือเขาไว้ทั้งสองข้าง ด้วยแววตาจริงใจที่มีน้ำตาคลอหน่อยตาคล้ายคนพร้อมจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา จนเขาเองทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรตอบท่านอย่างไรดี ตอนนี้เขาทั้งสับสนและโกรธที่เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ เขาเคยเตือนธารใสกับพี่ชายเขาแล้วว่าให้คัดค้านงานแต่ง ในเมื่อทั้งสองไม่ได้รักกันในเชิงชู้สาวมาก่อนทำไมต้องไปรับปากผู้ใหญ่จนเรื่องเลยเถิด ตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่ชายเขาไปอยู่ที่ไหน แล้วมาทิ้งปัญหาต่าง ๆ ไว้ให้เขาจัดการ โดยมีเพียงกระดาษโน้ตสั้น ๆ ไม่อธิบายรายละเอียดใด ๆ

'กราบเท้าคุณย่าและคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพรัก

ภพต้องขอโทษจริง ๆ ที่ตัดสินใจเหมือนคนเห็นแก่ตัว ภพไตร่ตรองดูแล้วนี่คงเป็นวิธีเดียวที่ภพคิดออกในตอนนี้ ขอโทษคุณย่าละไมกับความไม่เอาไหนของภพ ขอโทษน้องธารที่พี่ชายคนนี้ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้ได้ พี่รู้สึกละอายใจต่อน้องธารจริง ๆ หากมีโอกาสพี่จะมาขอโทษน้องธารด้วยตัวเอง

ไม่ต้องตามหาภพนะครับ หากภพพร้อมเมื่อไหร่ภพจะกลับมากราบเท้าคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ด้วยตัวภพเอง

ภพ'

คุณหญิงมณีโยนกระดาษแผ่นนั้นลงอย่างไม่ไยดี และประกาศลั่นกลางห้องโถง “มรดกของฉันที่จะยกให้ตาภพจะเป็นของธารใสทั้งหมด”

งานแต่งงานที่แสนวุ่นวายเพิ่งผ่านพ้นไปได้เพียงสองวัน คุณย่าแป๋วก็ขอร้องกึ่งบังคับให้ทั้งครอบครัวมาพักผ่อนที่รีสอร์ตส่วนตัวบนเกาะเต่าตามกำหนดการเดิมที่ได้ตกลงกันมาแต่แรกก่อนเกิดเรื่อง 

วันก่อนคุณลุงปุ๊และคุณป้าภัทรา เข้ามาคุยกับเธอและคุณย่าของเธอที่บ้าน บอกว่าตอนนี้ได้จ้างนักสืบเอกชนให้ออกตามหาพี่ภพทั้งในและนอกประเทศแล้ว เธอไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น เดิมทีเธอเคยคิดจะปฏิเสธงานแต่งงานตั้งแต่สามปีก่อนที่พวกผู้ใหญ่เจรจากันหลังเธอเรียนจบ แต่แล้วอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้เธอปล่อยให้เรื่องมันดำเนินไปโดยไม่ได้เอ่ยทัดทานใด ๆ ออกมา เธอมักจะเป็นเสียแบบนี้จนมันกลายเป็นนิสัยส่วนตัวเธอไปแล้ว ทั้งอืดอาดยืดยาด คิดและทำอะไรไม่ทันใจ เพราะแบบนี้พี่ภัทรจึงหงุดหงิดใส่เธอบ่อย ๆ ด้วยนิสัยของเธอและเขาที่ต่างกันสุดขั้ว แม้แต่ในวันงานที่ผ่านมา เขาแทบจะกินหัวเธอทันทีที่อยู่กันตามลำพังสองคน

‘ฉันบอกแล้วใช่ไหมธาร ให้รีบปฏิเสธงานแต่งงานซะ ทั้งเธอและพี่ภพก็ยังปล่อยให้เรื่องคาราคาซังมาถึงวันนี้ แล้วสุดท้ายเป็นฉันต้องวุ่นวายมาช่วยรับผิดชอบ’

‘ธารขอโทษนะคะพี่ภัทร ขอโทษจริง ๆ แต่ธารขอให้สัญญากับพี่ภัทรเลยว่าเราจะต่างคนต่างอยู่ พี่ภัทรไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรเรื่องของธารอีกแล้วต่อจากนี้’ เสียงหวานเอ่ยขอโทษเขาด้วยใบหน้าคล้ายจะร้องไห้ จนแม้แต่คนหัวขบถอย่างภัทรยังต้องใจอ่อนกับความใสซื่อของเธอ เขามักจะใจอ่อนให้กับความไร้เดียงสาของเธอเสมอจนตัวเขาเองยังหงุดหงิด

“ธาร! ทำไมไม่บอกคุณย่าว่าไม่อยากมา” เสียงของภัทรดังขึ้นจากด้านหลังคนตัวเล็กที่เอาแต่ยืนเหม่ออยู่กราบเรือ จนไม่ทันสังเกตว่าเขาเดินตามม

“แล้วพี่ภัทรละคะ ได้บอกคุณย่าหรือเปล่า” เธอบุ้ยใบ้ไปทางพวกผู้ใหญ่ที่นั่งทานของว่างกันอยู่อีกฝั่งของเรือที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเกาะเต่า

“ยอกย้อนเก่งนักนะ แต่ก่อนฉันบอกให้ปฏิเสธงานแต่งเธอกลับนิ่งเฉย มาวันนี้กลับมาเถียงฉันฉอด ๆ เห็นฉันยอมช่วยหน่อยแล้วจองหองรึไง ยัยน้ำขุ่น!”

“พี่ภัทร! ธารจะฟ้องคุณย่า พี่ภัทรพูดจองหองกับน้อง แล้วยังเรียกธารว่าน้ำขุ่นอีก ทั้งที่เราตกลงกันแล้ว นี่คือชื่อต้องห้าม”

“เอะอะอะไรจะฟ้องแต่คุณย่า ๆ เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่อยากแต่งงานกับเธอ! เธอไม่ใช่สเปกฉันสักนิด อ่อนแอปวกเปียกแล้วทำผยอง พอโดนว่าเข้าหน่อยก็ขู่จะฟ้องแต่คุณย่า จนตอนนี้คุณย่าหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้น ถึงขั้นจะยกมรดกให้ เธอคงแอบดีใจสินะยัยน้ำขุ่นที่ฝืนใจแต่งงานไปทั้งที่เจ้าบ่าวตัวจริงหาย แต่กลับได้มรดกมาแทน มีแต่คุ้มกับคุ้ม”

“โอ๊ย! ใครวะ” เสียงร้องของภัทรทำให้เธอหันไปมองด้านหลังเขา จึงได้เห็นผู้เป็นย่ายืนถือนิตยสารเล่มหนามาฟาดเข้าที่หัวเขาเต็มแรง

“คุณย่า!! ภัทรเจ็บนะครับ ด้านสันด้วย หัวภัทรแตกแล้วมั้งเนี่ย”

“แตกก็ดี จะได้พาไปโรงพยาบาลเย็บทั้งหัวและปากไปด้วยกันเลยทีเดียว ปากเก่งนักนะวัน ๆ ข่มเหงแต่น้อง แล้วยังมาเรียกน้องว่าน้ำขุ่นอีก แบบนี้ควรจะโดนอีกสักป้าบ”

“คุณแม่ พอเถอะครับ อายเขา” เสียงปกรณ์ร้องห้ามมารดาอยู่ข้าง ๆ

“แกไม่ต้องมาห้ามฉันเลยตาปุ๊ แกดูสิลูกชายแกสองคน วันๆ พันกว่าเรื่อง ทำฉันความดันจะขึ้นวันละร้อยรอบ”

“ไม่ได้ห้ามเพราะห่วงลูกชายครับ กลัวคุณแม่จะเป็นลมเป็นแล้ง เลยว่าจะเป็นคนป้าบมันแทนคุณแม่เองครับ” คำตอบของลุงปุ๊ทำเอาทุกคนอมยิ้มไม่เว้นแม้แต่เธอ

“พ่อ! นี่ภัทรนะครับ ภัทรที่เป็นลูกพ่อ หลานคุณย่า และเพิ่งเป็นเจ้าบ่าวหมาด ๆ เธอควรเข้าข้างฉันสิ ไม่ใช่ยิ้มขำฉัน” ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับเธอโดยตรง

“ย่ะ พ่อเจ้าบ่าวฝืนใจแต่ง แต่พอเกิดเรื่อง ดันไปขอให้เมียเข้าข้าง”

“คุณย่า! เมียเลยเหรอครับ? อย่ามายัดเยียดนะ ภัทรแค่ช่วยรับหน้าเสื่อให้จบงานไปเท่านั้น ไม่มีต่อจากนี้เด็ดขาด”

“โอ๊ย! นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วละพ่อคุ๊ณ ไม่มีคนสติดีที่ไหนเขาอยากยกลูกสาวหลานสาวให้คนอย่างแกหรอก ไม่ต้องกลัวฉันหรือใครจะยัดเยียด”

“คนอย่างภัทรทำไมครับ” เขาถามกลับด้วยความสงสัย

“พ่อปลาไหลไง” เสียงของแม่เขาที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น

“…”


[1]ชื่อเล่นพระเอกออกเสียงว่า พัด พยางค์เดียว

[2]ชื่อจริงพระเอกออกเสียงว่า พัด-ทะ-ระ ดังนั้นในการบรรยายที่ใช้แทนตัวเช่น ภัทรปรายตามอง ผู้เขียนจะสื่อว่า พัด-ทะ-ระ ปรายตามอง ประมาณนี้นะคะ


อ่าน : 0

แชร์ :

เขียนความคิดเห็น