ราคารวม : ฿ 0.00
ในงานหนังสือปีนี้ยังคงคึกคักเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา คลื่นมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าร่วมงานตั้งแต่ในวันแรก บรรดานักอ่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจมาเลือกหาซื้อหนังสือกันอย่างหนาแน่น นอกจากจะเป็นงานมหกรรมหนังสือที่รวบรวมเอาหนังสือหลากหลายประเภทมาจัดรายการขายลดราคาแล้ว ในงานนี้ยังถือว่าเป็นจุดนัดพบของนักเขียนรุ่นต่าง ๆ ทั่วทั้งบรรณภพของเมืองไทยอีกด้วย
สมานก็เป็นหนึ่งในคนเรือนหมื่นที่ได้ไปร่วมงานหนังสือในวันแรกนี้ด้วย ในปีที่ผ่านมาสมานยังเป็นแค่นักอ่านอยู่ เขาจึงไปเดินในงานเพื่อที่จะเลือกหาซื้อหนังสือที่เขาคิดว่าอ่านแล้วจะช่วยพัฒนาการเขียนของเขาให้ดีขึ้น แต่ว่าในปีนี้ตัวเขาได้เปลี่ยนสถานะภาพจากนักอ่านธรรมดากลายมาเป็นนักเขียนหน้าใหม่แล้ว สมานเพิ่งจะมีผลงานนวนิยายจัดพิมพ์เป็นเรื่องแรก หลังจากที่เขาได้พยายามเขียนเรื่องเพื่อส่งผลงานไปให้สำนักพิมพ์ต่าง ๆ มานานกว่า 7 ปี จนกระทั่งเขาประสบผลสำเร็จเมื่อสำนักพิมพ์ดักแด้วรรณกรรมได้เลือกเอาเรื่อง “ปีกอนงค์” ของเขามาจัดพิมพ์พร้อมกับเรื่องของนักเขียนหน้าใหม่อีก 3 ท่าน
นวนิยายเรื่อง “ปีกอนงค์” ซึ่งแต่งโดยเจ้าของนามปากกา “สามาญวงศ์” ที่จัดพิมพ์เป็นครั้งแรกได้ถูกวางขายอยู่ในบูธของสำนักพิมพ์ดักแด้วรรณกรรมร่วมกับนวนิยายเรื่องใหม่อีก 3 เรื่องของนักเขียนหน้าใหม่ที่นามปากกายังไม่เป็นที่คุ้นหูเช่นกัน โดยทางสำนักพิมพ์ได้ขึ้นป้ายโฆษณาแขวนติดไว้เหนือบูธว่า “พบกับจตุเทพแห่งวงการวรรณกรรมที่พร้อมเปิดโลกใหม่ให้แก่ท่านได้ที่นี่” ซึ่งแน่นอนว่านามปากกา “สามาญวงศ์” นี้ก็เป็นหนึ่งในจตุเทพที่ทางสำนักพิมพ์ได้ยกย่องเอาไว้ด้วย
สมานรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ตัวเขามีผลงานเรื่องแรกออกมาตีพิมพ์ได้สำเร็จ และเขาต้องภูมิใจมากขึ้นอีกเมื่อทางสำนักพิมพ์ที่เขาแจ้งเกิดได้ยกย่องให้เขาเป็นนักเขียนหน้าใหม่คนหนึ่งที่น่าจับตามอง ถึงแม้ว่าบูธของสำนักพิมพ์ดักแด้วรรณกรรมจะเป็นเพียงบูธเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงมุมด้านในสุดของชั้นล่างซึ่งคนเดินผ่านไม่มากนักก็ตาม สมานก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบไปอยู่ที่หน้าบูธทำเป็นยืนอ่านหนังสือเรื่อง “ปีกอนงค์” เพื่อเรียกร้องความสนใจแก่ผู้ที่เดินผ่านไปมาให้เดินเข้ามาหยิบหนังสือเรื่องนี้ขึ้นมาลองอ่านดูบ้าง
แล้วก็เหมือนจะมีเหยื่อหลงเข้ามาติดกับดักที่เขาได้ขุดล่อเอาไว้ เมื่อมีหญิงสูงวัยคนหนึ่งเดินลากกระเป๋าล้อเลื่อนสำหรับใส่หนังสือมาหยุดหน้าบูธ สมานหันหน้าไปเหลือบมองผู้หญิงคนนี้เล็กน้อยพร้อมทั้งยิ้มให้ โดยที่เขาได้พยายามพลิกด้านหน้าของหนังสือนวนิยายเรื่อง “ปีกอนงค์” ให้เธอดู เพื่อให้เธอผู้มาใหม่รู้ว่าเขากำลังสนใจอ่านหนังสือเล่มไหนอยู่
หญิงวัยใกล้กับแม่ของสมานได้ยิ้มตอบให้แก่เขา พร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้น
“อ่านเรื่องอะไรล่ะ? ไหนให้ป้าดูอีกทีสิ เมื่อกี้ยังมองไม่ชัดเลย”
เข้าทางของสมานพอดีนอกจากเหยื่อรายนี้จะติดกับดักแล้ว ดูเหมือนเธอจะหลงกลเขามากขึ้นไปอีก เมื่อสมานเห็นช่องที่เปิดโอกาสให้เขาได้เชียร์หนังสือของตัวเองด้วยแล้วเขาจึงไม่รอช้า
“เรื่องปีกอนงค์ครับ นวนิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยครับ” สมานพูดพร้อมทั้งชี้ไปยังหนังสือนวนิยายเรื่อง “ปีกอนงค์” ที่วางเรียงรายโชว์อยู่บนแผงเป็นจำนวนมาก
แล้วก็เหมือนกับว่าจะได้ผล เมื่อหญิงคราวป้าหยิบหนังสือเรื่อง “ปีกอนงค์” ขึ้นมาดู เธอพลิกดูที่ปกหลังเพื่ออ่านคำโปรยของเรื่อง แล้วเธอก็อ่านออกเสียงค่อนข้างดังเพื่อให้สมานได้ยินด้วย
“ ... ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังดื่มด่ำนั้น อนงค์อดไม่ได้ที่จะเผลอใจคล้อยตามสิ่งเร้าที่เข้ามากระแทกอารมณ์ เธอหลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้มพร้อมกัดริมฝีปากแน่น เธอรู้สึกเหมือนว่าร่างของเธอกำลังลอยขึ้น และตัวเธอกำลังล่องลอยสู่สรวงสวรรค์อันงดงาม ...”
สมานอดยิ้มไม่ได้เมื่อเขาได้ยินบทบรรยายในฉากหนึ่งจากเรื่องที่เขาแต่ง ซึ่งบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ได้บรรจงคัดสรรเพื่อเลือกมาเป็นบทโปรยสำหรับดึงดูดผู้อ่าน
“อีโรติคแน่ ๆ เลย” คุณป้าพูดขึ้นเมื่อหันไปเห็นสมานยิ้ม
“ไม่ใช่ครับ เป็นเรื่องชีวิตดราม่าครับ” สมานรีบหุบยิ้มและพูดแก้ในทันที
“เธออ่านจบแล้วเหรอ? ถึงได้รู้”
“โอ้ย .. ผมอ่านจบหลายรอบแล้วครับ” สมานเผลอพูดออกไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม เพราะกว่าที่เรื่องของเขาจะถูกจัดพิมพ์ออกมาได้นั้น ตัวเขาในฐานะที่เป็นผู้แต่งต้องทั้งอ่านและทั้งแก้ไขไม่ต่ำกว่า 10 รอบ แต่เขาก็รู้ตัวว่าเขาไม่ควรพูดอะไรที่มากจนเกินไป เดี๋ยวจะเป็นการทำให้ไก่ตื่นเสียก่อน เขาจึงต้องรีบโกหกพูดแก้ต่างแทน “ผมอ่านหลายรอบแล้วชอบมาก ผมเลยจะมาซื้ออีกสักเล่มเอาไปฝากเพื่อนครับ”
“ดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” คุณป้ายังคงสงสัยต่อ
“ใช่ครับ เรื่องนี้สุดยอดเลย ในเรื่องนางเอกชื่ออนงค์ นางเอกต้องต่อสู้กับชีวิตอันโหดร้าย นางเอกมีรักที่ไม่สมหวังเพราะว่าไปรักพระเอกที่แต่งงานแล้ว นางเอกต้องการการยอมรับจากสังคม จึงต้องต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคอย่างมากเลยครับ” สมานอดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องย่อไปด้วย
“อ๋อ ... เรื่องเมียน้อย ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย” หญิงคราวป้าพูดขึ้น “เรื่องชิงรักหักสวาท เมียน้อยตบตีกับเมียหลวงเพื่อแย่งผู้ชาย พล็อตน้ำเน่ามาก ๆ เลย”
สมานถึงกับหน้าชาในทันทีเมื่อได้ยินคู่สนทนาพูดวิจารณ์หนังสือของเขา แล้วคุณป้าที่กำลังทำตัวเป็นนักวิจารณ์หนังสือก็ได้พูดขึ้นต่อ
“ไหนดูสิใครแต่ง?” คุณป้าผู้พูดพลิกหนังสือกลับมาดูที่ปกด้านหน้าอีกครั้ง “สามาญวงศ์ นักเขียนใหม่เหรอ? ชื่อโบราณมาก ชื่อยังกะคณะลิเกวิกหลังตลาดเลย”
หน้าของสมานยังไม่หายชาแต่เขากลับต้องมึนมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคนวิจารณ์ชื่อซึ่งเป็นนามปากกาของเขา เขาเริ่มรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันทีที่เขาเลือกหญิงสูงวัยคนนี้มาเป็นเหยื่อ เขามีความรู้สึกเหมือนชาวประมงที่ตกปลาแล้วเบ็ดเกี่ยวได้ร้องเท้าแตะเก่า ๆ ขึ้นมาจากน้ำ นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังไม่สามารถจะหาประโยชน์อันใดได้อีกเลย ในตอนนี้เขาเริ่มอยากจะเปลี่ยนเหยื่อตัวใหม่แล้ว เพราะว่าเหยื่อตัวนี้ดูท่าทางว่าจะมีพิษแก่เขามาก
แล้วคุณป้าฝีปากคมก็พลิกหนังสือกลับไปอ่านคำโปรยที่ปกหลังต่ออีกครั้ง ซึ่งเธอยังคงอ่านออกเสียงดังให้สมานได้ยินอยู่เช่นเดิม
“ ... แล้วเธอจึงได้รู้ความจริงว่า สิ่งที่เธอคิดว่าเป็นสวรรค์ในตอนแรกนั้นได้กลับกลายเป็นนรกที่มีไฟร้อนแรงเผาสุ่มทรวงเธอตลอดมา เธอเริ่มคิดขึ้นว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้น และไม่มีเขาคนนั้นเดินผ่านเขามา ชีวิตของเธอคงจะสุขสบายมากกว่านี้ ...”
ในครั้งนี้สมานไม่กล้ายิ้มเมื่อเขาได้ยินอีกหนึ่งบทบรรยายบทจากเรื่องที่เขาแต่ง เขากลัวว่าบทบรรยายที่เขาคิดว่าน่าประทับใจนี้จะโดนตำหนิให้สะเทือนใจอะไรอีก
“ในตอนจบนางเอกคิดได้แล้วกลับมามีความสุขใช่ไหม?” คุณป้าหันมาถามสมานเมื่อเธออ่านบทบรรยายนั้นจบ
“ใช่ครับ” สมานรีบตอบพร้อมทั้งนึกในใจว่าคุณป้าเคยอ่านเรื่องนี้แล้วแน่ ๆ เลยจึงได้รู้ตอนจบของเรื่อง เขาจึงต้องถามต่อเพื่อให้รู้ความ “คุณป้าเคยอ่านแล้วหรือครับ?”
“ป้าเคยอ่านแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องนี้หรอก นิยายนางเอกเป็นเมียน้อยแบบนี้มีเยอะแยะไป มีเป็นร้อย ๆ เรื่อง ส่วนใหญ่ก็จบแบบให้นางเอกคิดได้ เลิกตามล่าตามร้างหารักที่ไม่สมหวังอีกแล้ว ทุกเรื่องต้องจบให้นางเอกกลับมาดีในตอนท้ายอย่างนี้ล่ะ ไม่อย่างงั้นคนอ่านก็ด่าเละเลย” คุณป้าผู้เคยอ่านแล้วพูดอธิบายบอก
สมานเหมือนกับโดนหมัดฮุคเข้าที่ขมับ เขาเริ่มมึนขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดว่าคุณป้าคนนี้นอกจากจะเคยอ่านเรื่องของเขาแล้ว คุณป้าคนนี้ต้องเคยเป็นบรรณาธิการมาก่อนแน่ ๆ เพราะว่าเรื่อง “ปีกอนงค์” ของเขาเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นเขาตั้งชื่อเรื่องว่า “สิ้นอนงค์” ซึ่งนางเอกของเขาผูกคอตายในตอนจบของเรื่อง แต่ว่าเรื่องที่เขาแต่งในครั้งแรกนั้นยังไม่สามารถที่จะจัดพิมพ์ออกมาได้ บรรณาธิการทุกคนในสำนักพิมพ์ดักแด้วรรณกรรมต่างก็บอกให้เขาไปแก้เนื้อเรื่องมาใหม่ จะให้นางเอกตายไม่ได้ เพราะว่าคนอ่านจะต้องเอาใจช่วยนางเอกตลอด ยิ่งถ้าให้นางเอกตายในตอนท้ายแล้วให้เรื่องจบเลยก็จะต้องโดนผู้อ่านตามมาด่าถึงสำนักพิมพ์แน่ ๆ ดีไม่ดีสำนักพิมพ์อาจจะถูกเผาก็เป็นได้ เขาจึงจำเป็นต้องแก้ไขเนื้อหาในตอนท้ายของเรื่องเกือบ 10 รอบ
“แล้วที่เธอบอกว่าเป็นเรื่องชีวิตดราม่านะมันเป็นยังไงเหรอ?” คุณป้าหันมาถามสมานอีกครั้ง
สมานต้องกัดฟันตอบ เขารวบรวมสติและพูดเล่าพล็อตของเรื่องให้คุณป้าฟัง โดยเขาพยายามพูดให้เหมือนกับตอนที่เขาพูดสรุปเรื่องนี้ให้บรรณาธิการฟัง
“ในเรื่องนี้จะพูดถึงชีวิตของนางเอก ที่ครั้งหนึ่งได้ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องความรัก จนต้องหาทางแก้ไขชีวิตให้ได้ ปมของเรื่องคือนางเอกเป็นเมียน้อยโดยไม่รู้ตัว”
“ปิโธ่! อีนางเมียน้อย ชอบมาอ้างว่าไม่รู้ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองรู้ดีตลอดล่ะ” คุณป้าเริ่มทำตัวเป็นนักขัดรีบพูดแทรกขึ้นที
สมานรู้สึกเหมือนว่าคุณป้าคนนี้จะต้องเคยแอบอ่านเรื่องที่เขาแต่งครั้งแรกแล้วแน่ ๆ เขาสงสัยว่าอีคุณป้าคนนี้เป็นคนที่อยู่ในสำนักพิมพ์แล้วปลอมตัวมาหรือไม่? เพราะว่าเรื่องของเขาก็โดนบรรณาธิการให้แก้ว่านางเอกไม่รู้ทั้ง ๆ ในตอนแรกเขาแต่งเรื่องให้นางเอกรู้อยู่เต็มอกก็ตาม
“เหมือนป้าจะเคยอ่านแล้วเลย” สมานพูดเปรยขึ้น
“ป้าอ่านมาเยอะแล้ว เรื่องแบบนี้พล็อตแบบนี้เหมือนกันหมดล่ะ” คุณป้านักอ่านพูดขึ้นอย่างลอยหน้าลอยตา “แล้วในเรื่องนี้เป็นไงต่อล่ะ?”
สมานจึงเล่าต่อ “ในเรื่องนางเอกก็พยายามต่อสู้กับชีวิตที่ลำบาก ชีวิตที่ถูกสังคมจำกัดความว่าเป็นเมียน้อย หลังจากนั้นนางเอกก็ท้อง พระเอกอยากให้นางเอกเอาลูกออกแต่นางเอกไม่ยอม พระเอกจึงบังคับนางเอกแล้วขับรถพานางเอกไปทำแท้ง”
“แล้วพระเอกก็ขับรถตกหลุมกลางทางกระแทกจนนางเอกแท้งใช่ไหม?” คุณป้านักขัดรีบพูดแทรกขัดขึ้นมาในทันที
“ใช่ครับ” สมานตอบพร้อมกับตะลึงไปชั่วขณะ คุณป้าคนนี้รู้เรื่องได้อย่างไร? แสดงว่าคุณป้าคนนี้ต้องเป็นคนในกองบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ปลอมตัวมาแน่ เพราะว่าเรื่องที่เขาแต่งในตอนแรกนั้นนางเอกยอมไปทำแท้งแต่โดยดี แต่ทางบรรณาธิการไม่ยอมให้นางเอกไปทำแท้งอย่างเด็ดขาด เพราะว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีขัดกับศีลธรรมซึ่งทางสำนักพิมพ์ไม่ยอมแน่ ๆ เขาจึงยอมให้บรรณาธิการแก้เรื่องในตอนที่ไปทำแท้งโดยให้กลายเป็นเกิดอุบัติเหตุในระหว่างขับรถจนนางเอกตกเลือดแทน
“นางเอกแท้งแล้วยังไงต่อ?” คุณป้าถึงแม้ว่าจะขัดแต่ก็ยังอยากจะรู้เรื่องต่ออยู่ดี
สมานเห็นใบหน้าของคนที่ใคร่อยากจะรู้แล้วก็ต้องรีบเล่าต่อ “พอนางเอกแท้งแล้วก็เลยคิดได้ นางเอกคิดถึงเรื่องราวในชีวิตที่ผิดพลาดไป นางเอกก็พยายามแก้ไขชีวิตให้ดีขึ้นด้วยการลาออกจากที่ทำงานเดิมเพราะไม่อยากเจอหน้าพระเอกอีก”
“แสดงว่านางเอกต้องเป็นเลขาแน่ ๆ เลย ใช่ไหม?” คุณป้านักขัดรีบถามแทรกขึ้นมาในจังหวะนี้พอดีเลย
“ใช่ครับ นางเอกเป็นเลขาของพระเอกครับ คุณป้ารู้ได้อย่างไรล่ะครับ?” สมานตอบพร้อมกับถามต่อด้วยความสงสัยอีกครั้ง
“โอ้ย ... เลขาก็ต้องเป็นเมียน้อยนาย เรื่องแบบนี้พล็อตมันมาแบบนี้ทั้งนั้นล่ะ เลขากับเจ้านายทำงานใกล้ชิดกัน ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวก็โจ๊ะกันจนได้ล่ะ”
สมานปักใจเชื่อแล้วว่าคุณป้าคนนี้ต้องเป็นคนในกองบรรณาธิการที่ปลอมตัวมาแน่ ๆ เพราะว่ารู้เรื่องที่เขาแต่งเป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าจะรู้แค่เรื่องแต่ยังรู้อีกด้วยว่าเรื่องในตอนแรกเป็นอย่างไร เพราะว่าในตอนแรกเขาแต่งเรื่องให้นางเอกเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดา แต่บรรณาธิการบอกว่าให้แก้ไขใหม่ให้นางเอกเป็นเลขาจะได้สมจริงสมจังในเรื่องที่ต้องสนิทกับพระเอกที่เป็นเจ้านาย
“แล้วทำไมถึงได้ชื่อเรื่องว่า “ปีกอนงค์” ล่ะ?” คุณป้านักอ่านจอมแทรกได้ถามขึ้นอย่างจริงจังต่อ
“สาเหตุที่ชื่อว่าปีกอนงค์ก็เพราะว่า” สมานหยุดกลืนน้ำลายเล็กน้อย เพื่อที่จะได้พูดอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น “นางเอกต้องต่อสู้กับปัญหาชีวิตและอุปสรรคต่าง ๆ ที่โถมทับเข้าหาตัวเธอ เธอใช้แรงใจของตัวเธอเองในการที่จะขับเคลื่อนและประครองชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ เหมือนมีแรงลมมาช่วยพยุงอยู่ที่ใต้ปีกจึงทำให้ร่างกายของเธอบินฝ่ามรสุมชีวิตออกไปได้”
“โห ... ลึกซึ้งมาก” เป็นครั้งแรกที่คุณป้านักอ่านพูดขึ้นอย่างคล้อยตาม “สุดยอดเลยที่ใช้ชื่อ “ปีกอนงค์” เพราะว่าถ้านางเอกในเรื่องไม่สู้ชีวิตแล้วคิดฆ่าตัวตาย เรื่องนี้ต้องชื่อ “สิ้นอนงค์” แน่ ๆ เลย”
สมานเหมือนกับเจอนะจังงังที่เป็นมนต์สะกด เขาทำตาเหลือกจ้องเขม็งไปที่คุณป้าบรรณาธิการ สมานสงสัยว่าเธอผู้นี้ต้องการอะไรจากสังคมแน่ เพราะเหมือนว่าเธอจะรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดีไปกว่าเขาที่เป็นผู้แต่งเสียอีก รวมทั้งรู้อีกด้วยว่าเรื่องนี้เคยถูกตั้งชื่อว่า “สิ้นอนงค์” ด้วย เขาจำว่าได้ในการสนทนาครั้งนี้เขายังไม่เคยเอ่ยชื่อเรื่องเก่านี้ให้เธอได้ยินเลย
ยังไม่ทันที่สมานจะคิดอะไรต่อได้ คุณป้านักอ่านที่ดูเหมือนบรรณาธิการท่านนี้ก็หยิบหนังสือนวนิยายเรื่อง “ปีกอนงค์” ขึ้นมาจากแผง 2 เล่ม แล้วเธอก็หันไปถามพนักงานขายที่ยืนรออยู่ในบูธ
“เล่มละเท่าไหร่?”
“ลดแล้วเหลือเล่มละ 250 บาทค่ะ” พนักงานขายที่ยืนรออยู่นานแล้วรีบตอบโดยทันที
“ฉันเอา 2 เล่มนี้” คุณป้าผู้ชื้อยื่นหนังสือทั้ง 2 เล่มส่งให้แก่พนักงานขาย พร้อมทั้งส่งธนบัตรใบละ 500 ตามไปให้ด้วย
“คุณป้าจะซื้อไปทำไมครับ?” สมานถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง
“ซื้อไปอ่านสิจ๊ะ ก็เธอเล่าเรื่องเสียสนุกเชียว ป้าจะไม่ซื้อไปอ่านได้ไงล่ะ” หญิงผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเขาตอบพร้อมยิ้มให้แก่เขาด้วย
“แต่คุณป้าอ่านแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
“โอ้ย ... อ่านแล้วก็อ่านอีกได้ ไอ้เรื่องพล็อตแบบนี้มันมีแต่งออกมาทุกปีเลย แล้วป้าก็ซื้อไปอ่านทุกปีเหมือนกัน ปีนี้ป้าก็ตั้งใจมาซื้ออีก อยากจะเอาไปอ่านดูว่านักเขียนใหม่คนนี้จะแต่งเรื่องได้ดีกว่าคนก่อน ๆ ไหม? แล้วสำนวนการเขียนจะพอใช้ได้ไหม? ไอ้เรื่องแบบนี้จะว่าน้ำเน่าก็น้ำเน่า ถึงแม้ว่าพล็อตจะซ้ำซากแต่เรื่องทำนองนี้อ่านกี่ครั้งกี่ครั้งก็สนุกทุกครั้งล่ะ แล้วที่ป้าซื้อไป 2 เล่มนี้ก็กะว่าจะเอาไปฝากคนข้างบ้านด้วย จะได้มีเพื่อนอ่านด้วยกัน อ่านแล้วจะได้เอามาเม้าท์เอามาด่ากันได้ไงล่ะ” คุณป้านักอ่านตอบร่ายยาวเลย
สมานนักเขียนมือใหม่ได้ยินคุณป้านักอ่านมืออาชีพตอบแล้วก็ยิ้มออกมาได้ แต่เขาก็ต้องรีบหุบยิ้มในทันทีเมื่อได้ยินคุณป้าผู้ที่อุดหนุนหนังสือของเขาหันไปถามพนักงานขายว่า
“แล้วคนที่แต่งเรื่องนี้ล่ะ เขามาแจกลายเซ็นด้วยไหม?”
สมานต้องสะดุ้งในทันทีเมื่อพนักงานขายหันมาชี้ที่ตัวเขา ในช่วงเวลานั้นเขาไม่มีโอกาสจะแทรกตัวหลบหนีไปไหนได้ทัน เมื่อเขาหันไปสบตาคุณป้าคู่สนทนาของเขาแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้ด้วยความเขินอาย
“ยังว่าทำไมรู้เรื่องดีนัก เล่าได้ละเอียดเชียวนะ” คุณป้าพูดขึ้นพร้อมทั้งยื่นหนังสือ 2 เล่มที่เธอซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์แล้วให้แก่สมาน “เซ็นหนังสือให้ป้าด้วยนะ พ่อสามาญวงศ์”
สมานพูดขึ้นอย่างประหม่าแต่ท่าทางของเขาดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก “ได้ครับ ว่าแต่จะให้ผมเซ็นว่าให้ใครดีล่ะครับ?”
“เขียนว่า ... ให้ป้านักอ่านก็แล้วกัน” ผู้ที่รอคอยลายเซ็นตอบ
แล้วภาพที่นักเขียนกำลังนั่งเซ็นชื่อให้แก่ผู้อ่านที่ซื้อหนังสือของเขาก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปภายในงานหนังสือ รวมทั้งในเวลานี้ที่บูธของสำนักพิมพ์ดักแด้วรรณกรรมด้วย นักเขียนหน้าใหม่ผู้มีผลงานจัดพิมพ์เป็นครั้งแรกกำลังเซ็นชื่อลงในหนังสือนวนิยายเรื่อง “ปีกอนงค์” ให้แก่คุณป้านักอ่านตัวยงผู้ที่ซื้อหนังสือของเขา
คงเป็นสัจธรรมในวงการหนังสือ นักเขียนจะอยู่ได้ก็ต้องมีนักอ่านผู้ที่อ่านงานเขียนของเขา ในทางกลับกันนักอ่านทั้งหลายต่างก็เฝ้ารออ่านผลงานใหม่ของนักเขียนที่เขาชื่นชอบอยู่เช่นกัน ทั้งนักเขียนและนักอ่านต่างก็เป็นกำลังใจให้แก่กันเสมอ ดังที่จะเห็นได้ทั่วไปในงานหนังสือทุก ๆ ครั้ง
แล้วตัวคุณล่ะ ... ในวันนี้คุณมีนักเขียนในดวงใจแล้วหรือยัง?
แชร์ :
เขียนความคิดเห็น